ข่าวต่างประเทศ อินเดีย โควิด-19

อินเดียไฟเขียวใช้ยาตัวใหม่รักษาผู้ป่วย ‘โควิด-19’ ในกรณีฉุกเฉิน

ผลการทดลองทางคลินิกพบว่าช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ลดการพึ่งพาออกซิเจน

Home / โควิด-19 / อินเดียไฟเขียวใช้ยาตัวใหม่รักษาผู้ป่วย ‘โควิด-19’ ในกรณีฉุกเฉิน

ประเด็นน่าสนใจ

  • องค์การควบคุมยาแห่งอินเดีย (DCGI) ได้อนุมัติการใช้ยาเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉิน
  • ผลการทดลองทางคลินิกพบว่าช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ลดการพึ่งพาออกซิเจน
  • รูปแบบยาเป็นชนิดผง ละลายน้ำ

เมื่อวันเสาร์ (8 พ.ค.) องค์การควบคุมยาแห่งอินเดีย (DCGI) ได้อนุมัติการใช้ยาตัวหนึ่งเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในกรณีฉุกเฉินแก่องค์การวิจัยและพัฒนากลาโหมของอินเดีย (DRDO)

ยาดังกล่าวมีชื่อว่า “2-ดีออกซี-ดี-กลูโคส” (2-deoxy-D-glucose) หรือ “2-ดีจี” (2-DG) ได้รับการพัฒนาโดยสถาบันเวชศาสตร์นิวเคลียร์และสหเวชศาสตร์ (INMAS) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการขององค์การข้างต้น ร่วมกับด็อกเตอร์เรดดี’ส แลบบอราทอรีส์ (DRL) ซึ่งเป็นบริษัทเภสัชภัณฑ์สัญชาติอินเดียในเมืองไฮเดอราบัด

กระทรวงกลาโหมของรัฐบาลกลางอินเดียแถลงว่า “ผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าตัวยาดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดการพึ่งพาออกซิเจน ทั้งยังมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนมากที่ได้รับตัวยาดังกล่าวและมีผลการตรวจด้วยชุดทดสอบเรียลไทม์พีซีอาร์ (RT-PCR) ออกมาเป็นลบ ยาตัวนี้จึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคโควิด-19”

https://twitter.com/DRDO_India/status/1390961209776623618

ยาดังกล่าวเป็นยาผงบรรจุซอง ที่สามารถรับประทานได้ด้วยการละลายในน้ำ

“มันจะรวบรวมเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเข้าด้วยกัน และป้องกันไม่ให้ไวรัสเติบโตด้วยการยับยั้งการสังเคราะห์ไวรัสและการผลิตพลังงานของไวรัส” กระทรวงระบุ

ที่มา – https://pib.gov.in/

ที่มา – https://pib.gov.in/

อินเดียกำลังเผชิญการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในปริมาณสูงและจำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งกระทรวงคาดการณ์ว่าตัวยาดังกล่าวจะสามารถรักษาชีวิตอันล้ำค่าของผู้คนไว้ได้ และจะช่วยลดระยะเวลาที่พวกเขาต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

เช้าวันเสาร์ (8 พ.ค.) อินเดียรายงานพบผู้ป่วยใหม่ 401,078 ราย และผู้เสียชีวิตใหม่ 4,187 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา


ที่มา – ซินหัว