สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

สุดารัตน์ โพสต์รำลึก พฤษภาทมิฬ “เผด็จการยึดอำนาจ – เลือกตั้งชุบตัว”

เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์รูปและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan โดยระบุข้อความว่า รูปนี้ เมื่อ 27 ปีที่แล้วค่ะ ขอคารวะต่อดวงวิญญาณของนักสู้ ผู้องอาจทุกท่าน…

Home / NEWS / สุดารัตน์ โพสต์รำลึก พฤษภาทมิฬ “เผด็จการยึดอำนาจ – เลือกตั้งชุบตัว”

สรุปใจความสำคัญ

  • เพื่อรำลึกเหตุการณ์เมื่อครั้งเข้าร่วมการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
  • ระบุการเมืองไทยยังอยู่ในวังวนเดิม รัฐประหาร-ยึดอำนาจ-เขียน รธน.ใหม่ – เลือกตั้ง
  • กล่าวถึงสถานการณ์ในการเลือกตั้ง 62 ที่ผ่านมาว่า เลวร้ายกว่าปี พ.ศ. 2535 ริดรอน เสรีภาพ ปชต. ใช้อำนาจ ม.44
  • ให้ความเห็นว่า สูตรคำนวณ ส.ส. ที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่า เป็น #สส_เอื้ออาทร และเป็นการพิธีการชุบตัวเผด็จการ
  • ยืนยัน เพื่อไทยยอมเสียสละ และ ตนเองจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น
  • ขอพลังขั้วที่ 3 ตัดสินใจเลือกข้างประชาชน

เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์รูปและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan โดยระบุข้อความว่า

รูปนี้ เมื่อ 27 ปีที่แล้วค่ะ
ขอคารวะต่อดวงวิญญาณของนักสู้
ผู้องอาจทุกท่าน

เมื่อวานนี้ 17 พฤษภาคม ถือเป็นวันครบรอบ 27 ปีของเหตุการณ์พฤษภา35 ที่พลังประชาชนได้ออกมาขับไล่เผด็จการที่ยึดอำนาจจากประชาชน แล้วใช้การเลือกตั้งเป็นข้ออ้างชุบตัวเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะผ่านมา 27 ปีแล้ว แต่เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม ในวันนี้ พวกรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชน เขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อไปสู่การเลือกตั้ง โดยใส่กติกาที่เอื้อให้ตนเองสืบทอดอำนาจต่อ ยิ่งกว่านั้นยังเขียนกติกาให้ตัวเองมีอำนาจแต่งตั้ง สว. 250 คน เพื่อการันตีการสืบทอดอำนาจ.

และเหลือเชื่อว่าคนที่เป็นกำลังหลักในการทำการรัฐประหารเมื่อครั้งพฤษภา35 แทบจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับรัฐประหารเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา

เวลาไม่ได้ทำให้ความคิดของคนเหล่านี้เปลี่ยนแม้แต่น้อย!! เพียงแต่ครั้งนั้นคนเหล่านี้ยังมียศน้อยจึงเป็นเพียงผู้ปฏิบัติการ แต่ครั้งนี้ได้เติบโตยิ่งใหญ่ จึงเป็นตัวการในการยึดอำนาจจากประชาชนเสียงเอง

ผิดกันแต่ ในครั้งนี้ พ.ศ.2562 เลวร้ายกว่า พ.ศ.2535 มาก ถือว่าไม่เห็นหัวประชาชนเลย ไม่สนใจว่าการกระทำต่างๆ จะขัดหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และลิดรอนสิทธิของประชาชนเพียงใด

แม้จะอ้างได้ว่า รัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว แต่ก็ผ่านแบบปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจอย่างถ่องแท้ในทุกด้าน คนออกไปรณรงค์ออกเผยแพร่เนื้อหาในรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจกลับถูกจับติดคุกหลายคนโดยเฉพาะ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้งยังเขียนบทเฉพาะกาลให้การกระทำของคณะรัฐประหารทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐประหารทั้งสิ้น เป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งข้ามกาลเวลา

รวมทั้งการใช้อำนาจ ม.44 ปลด เปลี่ยน ตั้ง ต่ออายุกรรมการในองค์กรอิสระที่สำคัญ ทั้ง ป.ป.ช. ก.ก.ต. ศาลรัฐธรรมนูญโดยมีปัญหาว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือให้คนใกล้ชิดเข้าไปทำหน้าที่หรือไม่

เลื่อนการเลือกตั้งนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมีการเลือกตั้ง ก็มีปัญหาว่าได้เป็นไปอย่างสุจริต ยุติธรรม และเสรีจริงหรือไม่ มีการเสนอข่าวว่า มีการร้องว่ามีใช้อำนาจบีบบังคับนักการเมืองท้องถิ่น ให้เข้ามาช่วยสนับสนุนตน ข่มขู่คู่แข่งและผู้สนับสนุนโดยการใช้ทั้งอิทธิพลและคดีความ ใช้อำนาจรัฐทำโครงการประชานิยมแจกเงินสารพัด ทั้งที่อยู่มาเกือบ 5 ปี ไม่คิดจะทำจริงหรือไม่

ตลอดช่วงเวลาการเลือกตั้ง มีผู้สมัครหลายรายไปร้องเรียน ทั้งเรื่องการซื้อเสียงอย่างโจ่งครึ่ม การใช้อำนาจรัฐโกงการเลือกตั้งสารพัดมากมาย

ทำขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังแพ้พรรคเพื่อไทยที่ส่งเพียง 250 เขตเท่านั้น เมื่อแพ้จึงต้องใช้อภินิหารจากองค์กรอิสระต่างๆ

ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น การนับคะแนน การประกาศผลคะแนน ที่ล้วนแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายประชาชนได้ ทั้ง #บัตรเกิดใหม่ในหีบ #บัตรเขย่ง #บัตรที่ระลึก

โดยเฉพาะสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคซึ่งได้คะแนนต่ำกว่าคะแนน ส.ส.พึงมี คือ 71,000 คะแนนก็ได้ 1 ที่นั่ง รวม 10 กว่าพรรคที่เขาเรียกกันว่า #สสเอื้ออาทร ได้รวมตัวกันสนับสนุนนายกสืบทอดอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ส.ว. อีก 250 คน ส่วนใหญ่มาจาก #สววงศาคณาญาติ และเพื่อนพวกพ้อง

ทำถึงขนาดนี้ ยังได้เสียงเพียง 135 ที่นั่ง แต่จะเป็นนายกฯ ให้ได้ ด้วยเสียง ส.ว. ที่ประชาชนไม่ได้เลือก

เอากันให้สบายใจค่ะ ขณะที่ผลการเลือกตั้งได้สะท้อนเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ชัดเจนว่าต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ แต่เสียงของประชาชนกลับไม่มีความหมาย “การเลือกตั้งจึงเป็นเสมือนเพียงพิธีกรรมชุบตัวเผด็จการ”

ในสถานการณ์เช่นนี้นักการเมือง พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยต้องอดทนให้ได้นะคะ

พี่น้องคะ ดิฉันเคยประกาศเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งที่ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเข้าไปเพื่อแสวงหาอำนาจ หาตำแหน่งต่างๆ แต่จะต้องเข้าไปทำงานเพื่อให้ประชาธิปไตยได้กลับมาลงหลักปักฐานอีกครั้ง

เราพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก ด้วยความเสียสละ เพื่อขจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นการพัฒนาประเทศ #เอาเผด็จการแปลงร่างออกไป และนำพาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหลักการบ้านเมืองที่ดีที่ถูกต้องกลับคืนมา เพื่อให้เศรษฐกิจปากท้องและสิทธิเสรีภาพของประชาชนดีขึ้น

พี่น้องคะ “โอกาสของประเทศ สำคัญมากกว่าโอกาสของเพื่อไทย”

โอกาสของประชาธิปไตยที่จะได้กลับมาลงหลักปักฐานให้มั่น คือภารกิจสำคัญยิ่งกว่าการแสวงหาอำนาจทางการเมือง

“เพื่อไทยยอมเสียสละ” เพื่อไม่ให้เป็น เงื่อนไขในการต่อรองทางการเมืองใดๆ ขอเพียงประเทศเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ดิฉันขอประกาศว่า “จะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น” และขอให้ทุกพรรคการเมืองที่เคยประกาศไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการมาร่วมกัน นำพาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของเรากลับคืนมา นำความสุข และความหวังกลับคืนสู่ประชาชน

ขอเพียงพรรคขั้วที่ 3 ตัดสินใจเลือกข้างประชาชน อย่างที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียง เราก็จะ #เอาเผด็จการแปลงร่างออกไป ด้วยเสียงผู้แทนราษฏรของเราได้แล้วค่ะ

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ จากพี่น้องประชาชน ขอขอบพระคุณ ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมเสียสละเพื่อบ้านเมือง

ขอคารวะทุกดวงจิตที่มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ ตั้งแต่ครั้งพฤษภา 35 จนถึงปัจจุบัน แม้หนทางข้างหน้ายังมีขวากหนามอีกมาก ดิฉันขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นค่ะว่า การยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องจะทำให้เรายืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด และบ้านเมืองของเราจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน สังคมมีความถูกต้อง ยุติธรรม แล้วสิ่งเหล่านี้จะทำให้ ประชาชน มีความสุข มีความมั่นใจในอนาคตของตนและลูกหลาน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ย้อนรอย พฤษภาทมิฬ (โดยย่อ)

โดยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 นั้น ต้นเหตุเกิดจากการที่เกิดต่อเนื่องจากการที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ที่ได้ทำการรัฐประหาร รัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2534

หลังจากนั้น ก็ได้มีการร่าง รธน. ขึ้นใหม่ และจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยพรรคสามัคคีธรรม ได้ส.ส. มากที่สุด ( 79 ที่นั่ง) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อนายณรงค์ วงศ์วรรณ ขึ้นเป็นนายกฯ แต่สถานการณ์พลิกผันนายณรงค์ ไม่สามารถขึ้นเป็นนายกฯ ได้ ด้วยข้อครหาที่ว่า “นายณรงค์ ไม่สามารถขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิด-เชื่อมโยงกับพ่อค้ายาเสพติด”

จึงได้มีการเสนอชื่อ พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกฯ แทน ในฐานะนายกฯ คนนอก พร้อมกับเกิดวาทะกรรม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” เนื่องจากก่อนหน้านั้น พลเอกสุจินดา ได้ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง

ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจอย่างมา จนสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติการเมืองไทย โดยมีทั้งการชุมนุมยืดเยื้อ การอดอาหารประท้วง ตลอดจนถึงท้ายที่สุดเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ต้องประกาศเคอร์ฟิว และมีการเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยกระสุนจริง

ท้ายที่สุด วันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ประธานองคมนตรีนำพลเอกสุจินดา คราประยูร ในฐานะผู้นำฝ่ายรัฐบาล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ตัวแทนกลุ่มผู้ประท้วงเข้าเฝ้า จนทำให้สถานการณ์คลี่คลายในที่สุด