ประเด็นน่าสนใจ
- วานนี้ปลัดอำเภอแม่ริม นำเอกสารหลักฐานเข้าพบตำรวจ เพื่อให้ปากคำคดีฌอน เปิดรับบริจาคฯ
- พร้อมเทียบคดี ‘บิณฑ์’ มีลักษณะไม่แตกต่างกันเพราะเปิดรับบริจาคโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เข้าข่ายยักยอกหรือฉ้อโกงมหาชน และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่สร้างมูลค่าความเสียหายมากกว่า
วานนี้ (3 พ.ย.63) นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นำเอกสารหลักฐานเข้าพบตำรวจ สภ.แม่ริม เพื่อให้ปากคำคดีนายฌอน บูรณะหิรัญ ไลฟ์โค้ชชื่อดัง เปิดรับบริจาคช่วยเหลือจิตอาสาดับไฟป่าดอยสุเทพ โดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ เพื่อประกอบสำนวนคดีดังกล่าวเพิ่มเติม
นายบุญญฤทธิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นนายฌอน และพวกที่ถูกดำเนินคดี ยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.แม่ริม แต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่อาจออกหมายเรียกมาพบ เพื่อให้ปากคำประกอบสำนวนคดี ถ้าไม่มาสามารถออกหมายจับได้
ส่วนกรณีของนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดังและนักสังคมสงเคราะห์ เปิดรับบริจาคหรือเรี่ยไร ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทัยภัย และผู้ที่เดือดร้อนจากปัญหาทางสังคมนั้น นายบุญญฤทธิ์ กล่าวว่า มีลักษณะคล้ายกับคดีของนายฌอน เบื้องต้นตรวจสอบ ไม่พบว่ามีการขอบริจาคหรือเรี่ยไรอย่างใด
เท่าที่ติดตามพบว่ามีผู้บริจาคให้เองรวมกว่า 422 ล้านบาท ซึ่งนายบิณฑ์ และคณะ นำเงินบริจาคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมรายละ 5,000 บาท แต่มีผู้ร้องเรียนขอให้มีการตรวจสอบเงินบริจาคดังกล่าว โดยไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองอุบลราชธานี ไว้แล้ว
ทั้งนี้ นายบุญญฤทธิ์ ได้อธิบายเรื่องการขอรับบริจาค หรือเรี่ยไรด้วยว่า ตามกฎหมายต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ก่อน พร้อมมีใบเสร็จ เพื่อให้ผู้บริจาคเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมต้นขั้ว เพื่อยืนยันว่ารับบริจาคเท่าไร และทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายไว้เป็นหลักฐาน จะอ้างว่านำเงินสดไปมอบให้ผู้ประสบภัย โดยไม่แสดงหลักฐานไม่ได้
ดังนั้น หากเทียบคดีนายบิณฑ์ กับนายฌอนไม่แตกต่างกัน เพราะเปิดรับบริจาคโดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าข่ายยักยอกหรือฉ้อโกงมหาชน และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่สร้างมูลค่าความเสียหายมากกว่า เนื่องจากมีผู้บริจาคจำนวนมาก ส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจ หรือกังวลคดีนายบิณฑ์ เพราะทำตามอำนาจหน้าที่ พร้อมให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ และใช้คดีนายฌอน เป็นแนวทางปฏิบัติกับคดีนายบิณฑ์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
