วันที่ 27 พ.ค. 2562 นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช. ได้กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างไปศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เพื่อตรวจพยานหลักฐานตามศาลนัด ในคดีพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) , นายจตุพร พรหมพันธุ์ , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กับพวกรวม 13 คน ร่วมกันเป็นจำเลย
ในคดีจัดการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการ
และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และทำการฝ่าฝืน พ.ร.ก. บริหารราชการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่ห้ามชุมนุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 3 ข้อหา โดยจำเลยให้การปฏิเสธและได้รับประกันตัว โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ม.ค.-14 เม.ย. 2552
โดยนายจตุพร ได้กล่าวถึงข่าวการสัญกรรมของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ถึงแก่อสัญกรรม ว่า พวกตนประกาศตั้งแต่ต้นเรื่องคุณูปการของ พล.อ.เปรม มีหลายเรื่องที่คนไทยต้องไม่ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ซึ่งเป็นการยุติการต่อสู้ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลไทย
สามารถลดความตายในแต่ละปีเป็นจำนวนนับพัน พล.อ.เปรม ได้ประกาศคำสั่งยุติความตาย นำคนไทยที่เข้าป่าไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ประชาชน กลับมาร่วมกันพัฒนาชาติไทย ต่อมาคือเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นแบบอย่างหนึ่ง
สุดท้ายก็คือคำว่าผมพอแล้ว เป็นสัจธรรมทางอำนาจที่ผู้มีอำนาจในยุคหลังควรที่จะเอาเป็นแบบอย่าง ส่วนเรื่องความเห็นที่แตกต่างกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมในฐานะคนพุทธก็กราบขออโหสิกรรม เราเป็นคนไทยสามารถแยกแยะทุกอย่างได้” นายจตุพร กล่าว