ประเด็นน่าสนใจ
- นายพิชิต เชิดธรรม พ่อค้าขายส้ม หรือแพะคดียาบ้า ถูกปล่อยตัวแล้ว หลังภรรยาเดินหน้าขอความเป็นธรรม
- พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด
- คดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทย ที่ผู้ต้องหาคดียาเสพติดมีการปล่อยตัวในชั้นของตำรวจ
- นายพิชิต เชิดธรรม ถูกส่งตัวไปคุมขังที่ เรือนจำธัญบุรี จ.ปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2562
จากกรณีที่ น.ส.กัลยกร ชลพิทักษ์ อายุ 37 ปี พร้อมทนายความ เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เพื่อขอความเป็นธรรม หลังสามีของ น.ส.กัลยกร หรือ นายพิชิต เชิดธรรม ถูกจับกุมดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิชอบ
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.2562 ที่ผ่านมา นายปองพล สวัสดิ์ทัส มีอาชีพรับจ้างขับรถขนของ และนายปองพลเป็นนายจ้างของนายวิชิตหรือแพะคดียาบ้าในครั้งนี้ นายปองพล เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุ นายสมศักดิ์ หทัยทัศน์ จ้างให้ขนส้มไปทิ้ง แต่เมื่อตรวจดูส้มก็พบว่ามีส้มจำนวนหลายลังไม่ได้เน่าเสียหาย จึงขอนำไปขาย ซึ่งนายสมศักดิ์ก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นนายปองพลก็ขนส้มขึ้นรถ 2 คัน คันหนึ่งเป็นของตัวเอง อีกคันเป็นของนายพิชิต ซึ่งเป็นลูกจ้าง
โดยส้มในคันของนายพิชิตได้พบ ยาบ้า 52,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในลังส้ม ขณะกำลังส่งให้ลูกค้า ทุกคนจึงปรึกษากันก่อนจะแจ้งตำรวจ สภ.คลองหลวงทันที
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับนายวิชิต ในฐานะผู้ต้องหา ไม่ได้ถูกกันไว้เป็นพยาน ซึ่งเมื่อทำการขยายผลจับกุม นายสมศักดิ์ หทัยทัศน์ รับสารภาพว่าเป็น เจ้าของยาเสพติด โดยนายสมศักดิ์ ไม่ได้ซัดทอดว่า นายวิชิต มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นายวิชิตกลับถูกดำเนินคดี นายวิชิตได้ถูกส่งตัวไปคุมขังที่ เรือนจำธัญบุรี จ.ปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2562
ล่าสุดวันที่ 29 พ.ค.2562 นายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความพร้อมด้วยนางสาวกัลยกร ชลพิทักษ์ อายุ 37 พร้อมบุตรอีกจำนวน 2 คน ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อทำเรื่องให้ศาลจังหวัดธัญบุรี ปล่อยตัวนายพิชิต เชิดธรรม สามีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.คลองหลวง จับกุมดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิชอบ
ด้านนายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า หลังจากที่นางสาวกัลยกร ชลพิทักษ์ ภรรยานายนายพิชิต เชิดธรรม สามีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง จับกุมดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิชอบ ได้ไปขอความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยมี พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติมารับเรื่องแทน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นั้น โดยให้พนักงานสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ถ้าไม่ผิดก็ให้ปล่อยตัวนายพิชิต เชิดธรรม ซึ่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีหมายปล่อยตัวมาที่ศาลจังหวัดธัญบุรี ขอให้ปล่อยตัวนายพิชิต เชิดธรรม โดยให้เหตุผลว่าไม่พบการกระทำความจึงได้ปล่อยตัวโดยไม่มีการประกันตัว และจะมีการปล่อยตัวที่เรือนจำธัญบุรี
ส่วนเรื่องของคดีนั้น ก็ยังมีผู้ต้องหาคนอื่นอีกแต่ถ้ามีการสั่งฟ้องสำนวนของนายพิชิตก็จะพ่วงไปด้วย เมื่อพ่วงไปด้วยแล้วก็ขึ้นอยู่กับทางอัยการ แต่ถ้าทางอัยการมีความเห็นเดียวกันกับตำรวจก็คือจบคดีนี้
แต่ถ้าทางอัยการ เห็นสมควรว่า จะเรียกตัวมาเป็นจำเลย ก็มีสิทธิ์ที่จะให้ทำพนักงานสอบสวนเรียก นายพิชิตมาอีกเพื่อมาเป็นจำเลยได้ แต่ต้องมีเหตุผลมากพอสมควรที่จะสั่งในการดำเนินคดี เพราะว่าจากสำนวน ขอนายพิชิตที่มีอยู่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย มีแต่เพียงว่าไปขายส้มและเจอยาเสพติด จึงได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และคดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทยที่ผู้ต้องหาคดียาเสพติดมีการปล่อยตัวในชั้นของตำรวจ และไม่เคยมีมาก่อนโดยเฉพาะในคดีเรื่องยาเสพติด และไม่ใช่เป็นการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอะไรที่จะมาจับอีกแล้ว นอกจากอัยการจะสั่งเห็นเป็นอย่างอื่น
นางสาวกัลยกร ชลพิทักษ์ บอกว่าตนเองรู้สึกดีใจมาก ที่สามีจะออกมาจากเรือนจำและได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและอยากจะขอบคุณทนายและสื่อทุกสื่อ ที่ได้ช่วยเหลือตนเอง ตัวเองขอยืนยันว่าสามีตนเองไม่ได้เป็น ผู้กระทำความผิด 100% ตลอดระยะเวลาที่สามีเข้าไปอยู่ในเรือนจำนั้น ตัวเองต้องรับภาระทุกอย่างในการเลี้ยงดูลูก 2 คน และภาระทุกอย่างในครอบครัวอีก พร้อมทั้งค่าเช่าบ้านและส่งงวดรถ
กระทั่งเวลา 13.00 น.ที่เรือนจำธัญบุรี จ.ปทุมธานี ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการปล่อยตัวนายพิชิต เชิดธรรม ออกมาจากเรือนจำให้เป็นอิสระและเมื่อทางนางสาวกัลยกร ชลพิทักษ์ อายุ 37 ปีและลูกอีก 2 คน ได้เจอหน้ากันต่างก็โผเข้ากอดกันและร้องไห้ด้วยความดีใจ
นายพิชิต เชิดธรรม เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุ นายปองพล สวัสดิ์ทัส นายจ้างของตนได้รับงานมาจากนายสมศักดิ์ให้นำส้ม 180 ลังไปทิ้ง หลังจากรับงานมาก็ได้พูดคุยกันว่า ยังมีส้มบางส่วนดีอยู่จึงแบ่งกันนำไปขาย ตนก็ไปเร่ขายในซอยเทพกุญชร 10 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และในพื้นที่คลอง 3 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จนได้มาเจอยาบ้า
ซึ่งหลังจากที่เจอยาบ้าแล้วตนเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่า ยาบ้านี้ไม่ใช่ของตนจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำยาเสพติดไป และตนก็ไปขายส้มต่อ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรมาเรียกตนให้ไปที่โรงพักคลองหลวง และก็ได้ให้ตนเซ็นเอกสาร ซึ่งตนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ก่อนที่ตนเองจะเซ็นสำนวนมาแล้วทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ่านให้ตนฟัง ซึ่งโดยการจับใจความได้ว่า
นายพิชิตได้ขับรถไปส้ม และมียาเสพติดอยู่ในรถ ในการเซ็นนั้นตนเองไม่ได้รับสารภาพ ว่าเป็นเจ้าของยาเสพติด จากนั้นตำรวจก็พาตนไปชี้ยาเสพติด จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ถ่ายรูป และนำตนเข้าไปควบคุมไว้ในห้องขังของ สภ.คลองหลวง หลังจาก 1 เดือน ที่ตนเองถูกจับกุมอยู่ในเรือนจำนั้นมันเป็นการที่ทรมานมาก ซึ่งตนเองคิดว่าตนเองไม่ผิดแล้วทำไมตัวนี้ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้
ซึ่งเวลาภรรยาตนเองมาเยี่ยมตัวเองก็พูดไม่ถูกมีแต่ความเครียด คิดว่าตนเองเป็นพลเมืองดีแต่ทำไมต้องมาถูกจับกุม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภรรยาได้บอกกับตนว่า จะนำเรื่องของตนไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมและขอความเป็นธรรมให้กับตนเอง
ตอนนี้ตนก็ไม่อยากเรียกร้องอะไร ขอให้ได้ออกมาจากเรือนจำและมาอยู่กับครอบครัวเท่านั้น หลังจากนี้ไปตนเองคงไม่กล้า ถ้าเจอสิ่งผิดกฎหมายอีกตนจะไม่ขอเข้าไปยุ่ง และจะไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะแจ้งไปก็อาจจะถูกจับมาแบบนี้อีก