คดีอุ้มฆ่าบิลลี่ ดีเอสไอ บิลลี่ พอละจี

ดีเอสไอ ส่งสำนวนคดี ‘บิลลี่ พอละจี’ ให้ อสส. พิจารณาตามกฎหมาย

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา อัยการสั่งไม่ฟ้อง 'ชัยวัฒน์' และพวก คดี บิลลี่ พอละจี ทางดีเอสไอไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว จึงมีการยื่นสำนวนการสอบสวนใหม่

Home / NEWS / ดีเอสไอ ส่งสำนวนคดี ‘บิลลี่ พอละจี’ ให้ อสส. พิจารณาตามกฎหมาย

ประเด็นน่าสนใจ

  • ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา อัยการสั่งไม่ฟ้อง ‘ชัยวัฒน์’ และพวก คดี บิลลี่ พอละจี
  • ล่าสุดทางดีเอสไอ ได้รวบรวมสำนวนชุดใหม่ส่งอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาตามกฎหมาย
  • ซึ่งทางดีเอสไอไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว จึงมีการยื่นสำนวนการสอบสวนใหม่

วันนี้ (11 ส.ค. 63) พันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณี การฆาตกรรมนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย แก่งกระจาน พร้อมความเห็นของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องดังกล่าว ส่งอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

คดีดังกล่าว ทางการสืบสวนมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำผิดอาญา ต่อมาคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีมติให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยเป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควรฟ้อง

  • 1) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร
  • 2) นายบุญแทน บุษราคัม
  • 3) นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ
  • 4) นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ

ในความผิด ดังนี้

  • ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
  • ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
  • ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง
  • ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
  • ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

โดยส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ต่อมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานคดีพิเศษ ได้มีหนังสือลงวันที่ 23 มกราคม 2563 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดตามข้อกล่าวหา

ออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ (1) – (3) เฉพาะความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

และออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ (4) เฉพาะความผิดฐานสนับสนุนตามข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนและความเห็นมายังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145

ภายหลังที่ได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของพนักงานอัยการแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และโดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน กับความเห็นของพนักงานอัยการที่ประกอบการออกคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว

โดยเห็นว่ายังมิอาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงให้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาตามกฎหมายต่อไป