สำนักข่าวทีนิวส์ออกแถลงการณ์ ยืนหยัดอุดมการณ์ ยืนยัน “ธนาธร” เป็นอันตราย หลังพรรอนาคตใหม่ ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท หลังกล่าวหา ‘ธนาธร’ ล้มสถาบันฯ
จากกรณีที่ วันนี้ (6 มี.ค.2562) น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยื่นฟ้องต่อศาลเอาผิดกรณี ม.จ.จุลเจิม ยุคล และสำนักข่าว T-News กรณีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 รวมถึงตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 (5) ฐานหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2562 ม.จ.จุลเจิม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กล่าวหาว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีพฤติการณ์ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และสำนักข่าว T-News ได้นำข้อความของ ม.จ.จุลเจิม ไปเผยแพร่
ล่าสุดสำนักข่าวทีนิวส์ ได้ออกแถลงการณ์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ยืนหยัดอุดมการณ์ ยืนยัน “ธนาธร” เป็น อันตราย พร้อมโพสต์ข้อความระบุว่า
สำนักข่าวทีนิวส์ก่อตั้งขึ้นมาและทำหน้าที่สื่อมวลชนมาด้วยจุุดยืนที่ชัดเจน คือ การนำเสนอข่าวสารที่วางอยู่บนความคิดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักของสังคมไทย มาอย่างช้านาน
ที่ผ่านมายามประเทศไทยเราเกิดวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นหลักร่วมรวมใจของสังคม ร้อยรัดสังคมไทย คนไทย ให้ผ่านพ้นวิกฤติมานับครั้งไม่ถ้วน
และแม้ว่าจะมีบางความคิด ความเห็นที่แตกต่าง แต่กระนั้นหากความคิดและความเห็นที่แตกต่างกันนั้นอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีอยู่ สังคมไทยเราก็ยอมที่จะให้สามารถแสดงความคิดและดำเนินกิจกรรมต่างๆได้ตามกรอบของกฏหมาย
ดังที่ผ่านมา ปรากฏการดำเนินการของ นาย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้เคยร่วมก่อตั้ง ให้ทุน สนับสนุนนิตยสาร “ฟ้าเดียวกัน” ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีการนำเสนอเนื้อหาที่วิพากษ์ วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยเปิดเผย และ นาย “ปิยะบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่อาศัยฐานะของนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย วิพากษ์วิจารณ์การดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ก็ยังสามารถทำได้แม้จะไม่ใช่ฉันทามติของคนในสังคมก็ตาม ทั้งนั้นทั้งนี้เพราะ บุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ต่างรู้ในข้อกฏหมาย และจงใจดำเนินการความคิดความเห็นที่แตกต่างไม่ให้ผิดกฎหมายที่มีอยู่
ทั้งๆ ที่โดยพื้นหลังและเจตนาแล้ว บุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองและพวกมีจุดยืนทางการเมืองที่อยู่คนละฝั่งกับการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แม้นายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่จะพูดเสมอต่อสาธารณะว่ามีจุดยืน ต้องการทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ต้องการต่อต้านเผด็จการทหาร ต้องการต่อต้านรัฐประหาร แต่ในอีกทางหนึ่ง นายธนาธร กลับสนับสนุนโดยเปิดเผยให้มีหนังสือที่มีเนื้อหา “ต่อต้าน” สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายธนาธรจะอ้างว่าเป็นการดำเนินการของกองบรรณาธิการ ไม่เกี่ยวกับตน แต่ถ้านายธนาธรไม่ได้มีความคิดต่อสถาบันในแนวทางเดียวกัน ทำไมถึงไม่แสดงการทักท้วง ห้ามปราม ซึ่งสามารถทำได้ในฐานะผู้ก่อตั้งและให้ทุนสนับสนุน
ถ้านายธนาธรไม่ได้มีความคิดในทางลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทำไมถึงไม่ปฏิเสธการร่วมงานทางการเมืองกับนายปิยะบุตร ที่เคยแสดงความเห็นว่า “กษัตริย์มีพระราชดำรัสสดกับประชาชนไม่ได้ สิ่งที่กษัตริย์จะตรัสต่อประชาชน ควรเป็นสิ่งที่ยกร่างโดยฝ่ายบริหาร” แต่กลับร่วมกับนายปิยะบุตร ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่และนายปิยะบุตรเป็นถึงเลขาธิการพรรค
พฤติกรรมของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยะบุตร แสงกนกกุล ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เป็นที่ชัดเจนว่ามีจุดยืนอยู่คนละฝั่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ตรงข้ามกับเสียงส่วนใหญ่ของสังคมไทยที่ยังรักและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออาจเรียกง่ายๆว่ามีความคิดแบบ “ต่อต้านสถาบันฯ” หรือ “ชังเจ้า” (anti-royalism) เห็นว่า การดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เป็นมาโดยตลอดในสังคมไทยไม่สามารถไปด้วยกันได้กับการเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กระทั่งจะต้องมีการดำเนินการลดทอนสถานะและอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งในทางรัฐธรรมนูญ ทางกฏหมาย และทางวัฒนธรรม (ดังที่มีความพยายามดำเนินการตลอดมา)เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ โดยแท้จริง
ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่นายธนาธร นายปิยะบุตร เปลี่ยนจากเดิมที่เคยเป็นเพียงนักเคลื่อนไหวทางสังคม มาเป็นนักการเมืองตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อใช้รัฐสภาเป็นช่องทางในการขับเคลื่อนความคิดของตนและกลุ่ม ซึ่งสังคมและสื่อมวลชนพึงต้องสามารถตรวจสอบและตั้งข้อสังเกตได้ต่อพฤติกรรมและความคิดต่างๆที่ “คาบลูกคาบดอก” (เช่น การบอกว่าจะสานต่อภารกิจ2475) และที่อาจจะเป็น “อันตราย” ต่อสังคมทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต นั่นไม่นับถึงพฤติกรรม ความสัมพันธ์ การดำเนินกิจกรรมที่เคยมีกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรม “ล้มเจ้า” และหลบหนีคดีมาตรา 112 อยู่ที่ต่างประเทศ
นอกจากนี้ การพูดของนายธราธรอาจเป็น “อันตราย” ในประเด็นศาสนา เพราะขาดการศึกษาและการทำความเข้าใจปัญหาสังคมอย่างลึกซึ้ง รอบด้าน ทำให้นายธนาธรได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน โดยก่อให้เกิดเข้าใจผิด เช่น เรื่องปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่นายธนาธรกล่าวว่า “รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แก้กันไม่จบ” และ “ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เพราะปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากรัฐอุปถัมภ์พุทธศาสนา และ พี่น้องใน 3 จังหวัคภาคใต้ก็อยู่กันอย่างเป็นปกติสุข ไม่เคยอยู่ในสถานะพลเมืองชั้นสองแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ซึ่งการพูดที่ผิดพลาดในประเด็นละเอียดอ่อนเหล่านี้ของนายธนาธร อาจเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างศาสนาและอาจทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้ และนับได้ว่าเป็นอันตรายต่อสังคมยิ่ง
จากจุดยืนของสำนักข่าวทีนิวส์ที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น การที่พรรคอนาคตใหม่ฟ้องสำนักข่าวทีนิวส์ว่าใส่ร้ายและหมิ่นประมาทนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่นั้น(แม้ว่าจะเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” อย่างชัดเจนเพราะมีความจงใจฟ้องเฉพาะสำนักข่าวทีนิวส์เพียงสำนักเดียวเพื่อไม่ให้สำนักข่าวทีนิวส์รายงานข่าวนายธนาธรต่อประชาชน) ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์ถือว่าได้ทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่พึงมีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่และตรงไปตรงมา อันเป็นเรื่องที่ดีที่ข้อเท็จจริงและความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายธนาธร นายปิยะบุตร และพรรคอนาคตใหม่ที่มีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมดจะได้นำเสนอในการพิจารณาในชั้นศาล และจะปรากฎต่อสาธารณะต่อไป ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์จะไม่เปลี่ยนแปลงในจุดยืนนี้ และจะทำหน้าที่สื่อมวลชนด้วยจุดยืนนี้ตลอดไป
ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ เมื่ออาศัยอำนาจทางกฏหมายอาญา และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเลือกตั้งในลักษณะนี้แล้ว ถึงวันนี้ก็ไม่ควรพูดความจริงเพียงด้านเดียวกับประชาชน โดยอ้างแค่อุดมการณ์อันสวยหรูของประชาธิปไตย อ้างความคิดต่อต้านเผด็จการ แต่กลับไม่พูดถึง “เจตนาแท้จริง” ของตน ว่าตนเองมีความตั้งใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร? ว่าตนเองมีความตั้งใจต่อกลุ่มบุคคลที่มีเจตนา “ล้มเจ้า” และคนที่เคยมีหมายจับมาตรา 112 ที่เคยร่วมกิจกรรมกันมาก่อนหน้านี้อย่างไร? ก็แสดงกันให้ชัดเจนต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบข้อมูลทั้งหมดก่อนวันเลือกตั้งและจะได้ตัดสินใจว่าควรจะเลือกพรรคการเมืองที่มีจุดยืนและอุดมการณ์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่