ย้อนเหตุการณ์กำเนิดพรรคไทยรักษาชาติ จนถึงวันสุดท้ายถูกตัดสินยุบพรรค
7 ตุลาคม 2561 : กำเนิดพรรครัฐไทย พรรคเดิม ไทยรักษาชาติ
พรรคไทยรักษาชาติ เดิมมีชื่อว่าพรรครัฐไทย จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 มีนาย เอกสิทธิ์ เจาฑานนท์ และนาย ศิรเมศร์ เสถียรรุจิกานนท์ เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนแรก
ต่อมาในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรครัฐไทยครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ที่ประชุมได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงชื่อพรรคจาก พรรครัฐไทย เป็น พรรคไทยรวมพลัง พร้อมกับเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค และภาพเครื่องหมายพรรค โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคไทยรวมพลังได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ที่นั่งในสภาแม้แต่ที่นั่งเดียว
ใน พ.ศ. 2557 นายเอกสิทธิ์หัวหน้าพรรคคนแรกได้ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยนาย กมล จิรโสภาพันธ์ ในฐานะนายทะเบียนสมาชิกพรรคจึงรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าพรรค
จากนั้นในการประชุมใหญ่ของพรรคไทยรวมพลังเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนแปลงชื่อพรรคเป็น พรรคไทยรักษาชาติ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคอุดมการณ์ของพรรค และนโยบายของพรรค รวมถึงนายกมลได้ลาออกจากตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรค
โดยมีกระแสข่าวว่าพรรคไทยรักษาชาติเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทยเพราะมีอดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรีของ พรรคเพื่อไทย จำนวนหนึ่งได้เตรียมย้ายมาสังกัดและเข้ามาบริหารพรรคไทยรักษาชาติ อกจากนี้ยังมีการตีความชื่อย่อของทางพรรคในช่วงแรกๆ ว่ามีนัยหมายถึงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 : หัวหน้าพรรคชื่อ ร้อยโท ปรีชาพล พงษ์พานิช
การประชุมใหญ่ของพรรคไทยรักษาชาติ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ที่ โรงแรมรามาการ์เดนส์ มีวาระสำคัญในการเลือก หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ รวมถึงเปลี่ยนแปลงภาพเครื่องหมายพรรค และสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรค ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก ร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช และนาย มิตติ ติยะไพรัช เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนใหม่
8 กุมภาพันธ์ 2562 : ยื่นชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 พรรคไทยรักษาชาติได้เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อยื่นรายชื่อบุคคลเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยพรรคไทยรักษาชาติ เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นผู้ที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงชื่อเดียว โดยร้อยโทปรีชาพล ให้เหตุผลว่า “พระองค์ท่านเองทรงมีพระเมตตาตอบรับ และให้พรรคไทยรักษาชาติเสนอพระนามในบัญชีนายกฯ ของพรรค
ก่อนที่ช่วงดึกในวันเดียวกัน ทีวีรวมการเฉพาะกิจฯ ได้มีการเผยแพร่พระราชโองการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ยุติบทบาทไม่ให้ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง โดยประกาศสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย ความว่าพระราชินี พระรัชทายาทและพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์
อยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 : ทูลกระหม่อมฯ ทรงโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ โพสต์ไอจีล่าสุด หลังมีพระราชโองการ
11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 : รุ่งเรือง พิทยศิริ กรรมการบริหารพรรคยื่นหนังสือลาออกกับกกต.
นายรุ่งเรือง พิทยศิริ กรรมการบริหารพรรคได้เดินทางมายังสำนักงาน กกต. เพื่อยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เพื่อยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งอยากให้เวลากับครอบครัว ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติเหลือทั้งสิ้น 13 คน
13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 : กกต.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคไทยรักษาชาติ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. นำโดยพันตำรวจเอก จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ได้ยื่นยุบพรรคไทยรักษาชาติตามมาตรา 92 (2) แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ตามมติในที่ประชุม กกต. เมื่อวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นทางพรรคไทยรักษาชาติได้ยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ปรีชาพล หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุน
- 13 กก.บริหารพรรค ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์
- ศาล รธน. ตัดสิน ยุบพรรคไทยรักษาชาติ
14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2526 : ศาลรธน.รับคำร้องยุบ “ทษช.” ไว้พิจารณา
การประชุมศาลรัฐธรรมนูญ ในวันนี้ (14 ก.พ. 2562) เพื่อพิจารณาคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ เนื่องจากเข้าข่ายผิดมาตรา 92 พรป.พรรคการเมือง จากกรณีเสนอชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรค ที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ คำสั่งรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย
จากนี้เตรียมแจ้งให้ผู้ร้องทราบ และส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยศาลนัดพิจารณาครั้งต่อไปในวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 13.30 น.
ในวันเดียวกัน แกนนำไทยรักษาชาติ ยุติปราศรัยใหญ่ ขอทำสมาธิสู้ข้อหายุบพรรค
27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 : ศาล รธน. ไต่สวนยุบพรรคไทยรักษาชาติ
ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาวินิจฉัยคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยศาลไม่ไต่สวนเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง เนื่องจากคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้
ศาลรัฐธรรมนูญจึงได้กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562 เวลา 13.30น. พร้อมนัดอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในเวลา 15.00น. ของวันเดียวกัน โดยให้แจ้งวันเวลาดังกล่าวให้คู่กรณีทราบ
2 มีนาคม พ.ศ.2562 : พรรคไทยรักษาชาติปราศรัยใหญ่
พรรคไทยรักษาชาติ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรก โดยมีแกนนำและสมาชิกพรรค อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายประภัสร์ จงสงวน คณะทำงานฝ่ายเศรษฐกิจ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำพรรค พร้อมผู้สมัคร กทม.ของพรรคทั้ง 8 เขต
ร่วมเวทีปราศรัย ที่บริเวณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพฯ โดยย้ำว่า จะดำเนินนโยบายแก้ปัญหาประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการหยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช. แต่ไม่ได้ พูดถึงกรณีการยุบพรรคทษช. ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นในแง่มุมใดๆ จะไม่มีการคาดการณ์หรือให้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
ขณะที่ ร.ท.ปรีชาพล ได้โพสต์คลิปอัปเดต 1 นาที บอกเล่าชีวิต ‘สบายดี แต่มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ’ โดยระบุว่า
“สวัสดีพี่น้องประชาชนที่รักและเคารพทุกท่านครับ ห่างหายไปนานพอสมควร หลายคนเป็นห่วงถามถึงตัวผม ผมอยากจะเรียนว่า ผมเองสบายดีครับ แต่ก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำ ผมเองในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ต้องกราบขอบคุณทุก ๆ ท่านเป็นอย่างสูงครับ ผมขอให้กำลังใจและส่งกำลังใจไปยังผู้สมัครของเรา รวมไปถึงสมาชิกไทยรักษาชาติทุก ๆ ท่านด้วย
เราปรารถนาจะเห็นประเทศไทยก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก เราปรารถนาจะเห็นรอยยิ้ม ความสุขของพี่น้องประชาชน หนทางข้างหน้า จะมีขวากหนาม จะมีอุปสรรคนานานับประการเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าพวกเราร่วมกัน ผมเชื่อว่า เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับประชาชนคนไทย และประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราทุก ๆ คนได้แน่นอนครับ”
7 มีนาคม พ.ศ. 2562 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ
15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง จดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นเวลา 10 ปี โดยให้เหตุผลว่า การเสนอพระนาม ทูลกระหม่อมฯ เป็นแครดิเดตนายกฯ
ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้วตามกฎมณเฑียรบาล
ดังนั้นพรรคการเมืองต้องมีความรับผิดชอบทุกการตัดสินใจ หากพรรคใดมีการกระทำเป็นปฏิปักษ์ถึงจะไม่มีเจตนาล้มล้างก็เข้าลักษณะเข้าข่าย โดยจะต้องถูกลงโทษ อ้างความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ได้
ขณะที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ได้เผยความรู้สึกหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งวินิจฉัย โดยระบุว่า ตนและกรรมการบริหารพรรคยืนยันน้อมรับพระราชโองการเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา ด้วยความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
ทั้งนี้ทางพรรครู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง แน่นอนที่สุดการยุบพรรคกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองขั้นพื้นฐาน และกระทบต่อประชาชนที่เตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งตนขอขอบคุณทุกกำลังใจจากทุกคน โดยพรรคการเมืองของเราแม้จะมีอายุเพียงแค่ 4 เดือน แต่ก็ได้รับความเมตตาจากประชาชน ซึ่งเราได้พยายามทำหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมา มีเจตนาที่บริสุทธิ์
ขณะที่กรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 10 ปี สำหรับตนและกรรมการบริหารพรรคทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตามเราก็จะทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง