สหรัฐฯ ตั้งข้อหา “หัวเว่ย” และ “เมิ่ง วานโจว” ผู้บริหาร รวม 23 กระทง ส่งผลให้ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับจีนตึงเครียดหนักขึ้น
สหรัฐฯ ตั้งข้อหาคดีอาญาหลายกระทงต่อ “หัวเว่ย” บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน และนางเมิ่ง วานโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน หรือ CFO ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งความพยายามที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจายุติสงครามการค้าระหว่างกัน
เมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น นายแมททิว วิเทเกอร์ รักษาการรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ แถลงการตั้งข้อหาบริษัทหัวเว่ยและผู้บริหาร รวม 23 กระทง โดยหลักๆ เกี่ยวกับการที่หัวเว่ยละเมิดการคว่ำบาตรอิหร่าน และพยายามขโมยข้อมูลความลับของบริษัทที-โมบายล์ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ
นายวิเทเกอร์ ระบุด้วยว่า จีนต้องควบคุมพลเมืองและบริษัทให้มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมาย
ด้านนายคริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ FBI กล่าวว่า ความสำเร็จที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เชื่อมโยงกับความมั่นคง และอิทธิพลของรัฐบาลจีนที่มีต่อบริษัทจีนอย่างหัวเว่ย ต่างก็สะท้อนถึงภัยคุกคามต่อทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ
เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ CNN ระบุว่า การฟ้องร้องแบ่งเป็น 13 กระทง ที่ยื่นฟ้องบริษัทหัวเว่ย และนางเมิ่ง ต่อศาลรัฐบาลกลางเมืองบรู๊กลิน กรณีที่หลอกลวงสถาบันการเงินและหน่วยงานสหรัฐฯ เกี่ยวกับธุรกิจในอิหร่าน ซึ่งทั้งหัวเว่ยและนางเมิ่งระบุว่า “สกายคอม” แยกออกจากหัวเว่ยเพื่อทำธุรกิจในอิหร่าน แต่ในความเป็นจริงยังคงเป็นบริษัทในเครือ
ส่วนข้อหาอีก 10 กระทง ได้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐวอชิงตัน กรณีที่หัวเว่ยขโมยเทคโนโลยีทดสอบโทรศัพท์มือถือด้วยนิ้วมือที่เรียกว่า “แทปปี้” ของที-โมบายล์ ซึ่งหัวเว่ยเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวจากสายสัมพันธ์ผ่านการจัดส่งมือถือให้ที-โมบายล์ นับเป็นการละเมิดข้อตกลงไม่เปิดเผยความลับของที-โมบายล์ นอกจากนี้ บริษัทยังแจ้งข้อมูลเท็จและทำให้เข้าใจผิด โดยกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของพนักงานที่ทุจริต และจ่ายโบนัสให้ผู้ที่ขโมยความลับจากคู่แข่งด้วย