ผู้สมัคร สส.พรรคพลังท้องถิ่นไท แจ้งความ ปอท.โดนแฟนเพจโพสต์โจมตีหัวหน้าพรรค หมิ่นประมาท และหมิ่นเบื้องสูงซ้ำ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 มี.ค.2562 ที่ บก.ปอท. นายณัฐพงษ์ รอบคอบ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการเขตที่ 3 เบอร์ 6 จากพรรคพลังท้องถิ่นไท เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.หญิง แก้วกาญจน์ อุ่นพันธ์ รอง สว(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Jakrawuth U-domdee ที่เข้ามาคอมเม้นต์ในแฟนเพจที่ชื่อว่านายณัฐพงษ์ รอบคอบ ซึ่งเป็น Facebook FAN pages ที่นำมาใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้โดยข้อความหมิ่นประมาททั้งนี้โจมตีไปที่หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท และมีการโพสต์กล่าวถึงเบื้องสูง
ทั้งนี้นายณัฐพงษ์ มองว่าเป็นเรื่องอันมิบังควรเพราะ Facebook FAN pages เปิดเป็นสาธารณะโดยมีผู้ติดตามเกือบ 20,000 คน ซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าวทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง และข้อความดังกล่าวเป็นข้อความโจมตีที่ไม่มีข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ด้าน ร.ต.อ.หญิง แก้วกาญจน์ ร้อยเวรสอบสวนได้รับเรื่องได้ทำการตรวจสอบเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
รู้จักความผิดฐานหมิ่นประมาท
ในประมวลกฏหมายอาญา ซึ่งระบุถึงประเด็นเรื่องการหมิ่นประมาทอยู่ด้วยกันคือ มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 328
ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษรกระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท - มาตรา 393
ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตามมาตรา 326 ได้ระบุไว้ถึงการใส่ความ “ผู้อื่น” ซึ่งในประเด็นนี้จำเป็นที่จะต้องระบุให้รู้ได้ว่า ผู้อื่นที่เอ่ยถึงนั้นเป็นใคร หากไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ก็ไม่เข้าข่ายความผิดในมาตรานี้
และคำว่า “ใส่ความ” นั้นเปิดกว้างไว้ อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องที่เราได้เอ่ยหรือใส่ความใคร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม มีความผิดในประเด็นนี้ทั้งสิ้น รวมทั้งกฏหมายมิได้ระบุลักษณะของวิธีการใส่ความอีกด้วย นั่นหมายความว่า ไม่ว่าเราจะใช้คำพูด เขียน บอกใบ้ต่างๆ ถือเป็นการใส่ความ และมีความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ทั้งหมด
หลีกเลี่ยงการหมิ่นประมาทอย่างไร ?
ตามกฏหมายแล้ว เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป สามารถกล่าววิพาก วิจารณ์ได้โดยสุจริตได้ เช่น กรณีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าได้ทำใบปลิวแจกจ่าย มีข้อความกล่าวว่า
“พวกเราชาวแม่ค้าทั้งหลายต้องช่วยกันต่อต้านคนรวยทั้งหลายที่ชอบรับแก คนจนอย่างพวกเราแม่ค้าทั้งหลาย ตอนนี้สมาชิกสภาเทศบาลบางคนที่เป็นคนรวย ทำเรื่องระงับการก่อสร้างหลังคาคลุมแดด ที่ทางเทศบาลทำให้กับพวกเราแต่มีสมาชิกเทศบาล ซึ่งพวกเราได้อุตส่าห์เสียเวลาหยุดขายของไปเลือกมันมาเป็นผู้แทนของเรา พอเวลามันได้เป็นแล้วมันกับมาต่อต้านพวกเรา ซึ่งเป็นแม่ค้าขายของจน ๆ อย่างพวกเรา มันทำเรื่องร้องเรียนไปทางเทศบาลพวกเรารอง อ่านดูว่ามันทำถูกหรือทำผิด”( ที่มาจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4459/2551 )
ซึ่งศาลได้เห็นว่า การกระทำของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าแม้ว่าจะมีข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ แต่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหเหล่านั้น เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเป็นการกระทำโดยสุจริต จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
หรืออีกกรณีหนึ่งมีจ้างทำการก่อสร้างสนามของทางราชการ ซึ่งมีผู้พบเห็นว่า งานไม่เรียบร้อย จึงได้นำเสนอว่า “สนามที่สร้างแบบสุกเอาเผากิน ทำไม่กี่วันก็เสร็จ” แม้ว่าจะมีการนำเสนอบทความระบุข้อความดังกล่าว ก็ถือว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม และผู้ทำผิดเชื่อโดยสุจริตใจว่ามีมูลความจริง ถือเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิสัยที่จะกระทำได้ ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2537)
โพสต์แค่กลุ่มเพื่อนบนสื่อออนไลน์ ก็ถือว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท
ในการโพสต์ ทวีต หรือแม้กระทั่ง รีทวีต ข้อความหมิ่นประมาท ก็ถือว่า เป็นการกระทำความผิดที่สำเร็จแล้ว หากผู้ที่ได้รับความเสียหาย พบเห็น ก็สามารถฟ้องร้องในเรื่องเหล่านี้ได้เช่นกันยิ่งหากเป็นการ รีทวีต-แชร์โพสต์ ยิ่งทำให้โอกาสในการที่จะโดนความผิดฐานหมิ่นประมาทมีมากขึ้นหากผู้รีทวีตไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบโดยตรง
ดังนั้น บนโลกโซเซียลในทุกวันนี้ จึงควรระวังในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เพราะโอกาสที่เราจะกระทำผิดในฐานหมิ่นประมาทนั้น เกิดขึ้นได้ง่ายมาก แพร่กระจายได้เร็วนั่นเอง