แมทธิว ดีน ไวรัสโควิด-19 ไวรัสโคโรน่า สายพันธ์ุใหม่

แมทธิว ดีน อัปเดตอาการ หลังจากเข้ารักษาโควิด-19 ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

19 มี.ค. 2563 – แมทธิว ดีน พิธีกรและนักแสดงชื่อดังโพสต์คลิปบนอินสตาแกรม อัปเดตอาการสภาพจิตใจและร่างกายหลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ 6 -7 วัน จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งมีคำแนะนำในการระวังเชื้อไวรัสให้ทุกคนสำหรับวิกฤตในช่วงนี้ด้วย แมทธิว ดีน…

Home / NEWS / แมทธิว ดีน อัปเดตอาการ หลังจากเข้ารักษาโควิด-19 ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

19 มี.ค. 2563 – แมทธิว ดีน พิธีกรและนักแสดงชื่อดังโพสต์คลิปบนอินสตาแกรม อัปเดตอาการสภาพจิตใจและร่างกายหลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ 6 -7 วัน จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งมีคำแนะนำในการระวังเชื้อไวรัสให้ทุกคนสำหรับวิกฤตในช่วงนี้ด้วย

แมทธิว ดีน อัปเดตอาการ หลังจากเข้ารักษาโควิด-19

View this post on Instagram

COVID -19 in hospital

A post shared by Matthew Deane Chanthavanij (@matthew.deane1) on

แมทธิวได้เผยในคลิปเกี่ยวกับอาการเมื่อติดเชื้อโควิด-19 ไว้ว่า …

สำหรับอาการตั้งแต่แรกคือ ไม่ได้รู้สึกว่าหนักมากเท่าไร เหมือนกับเป็นไข้หวัด ปวดเมื่อยตามร่างกายบ้าง ซึ่งสำหรับคนออกกำลังกายก็อาจจะเข้าใจว่าอาการมันมาจากการออกกำลังกาย ซึ่งก็คือความรู้สึกคล้าย ๆ แบบนั้น ปวดเมื่อย ๆ เหมือนอยากนวดแล้วก็มีคัดจมูกเหมือนกับเป็นภูมิแพ้ เหมือนกำลังจะเป็นหวัดประมาณนี้ แล้วพอไข้เริ่มขึ้นผมก็ไปหาหมอ ซึ่งนี่ก็เป็นสัญญาณที่ทุกคนควรจะรู้สึกว่าถ้ามีไข้ขึ้นมานิดนึงก็ไปหาหมอถ้ายังไม่เคยตรวจ หรือถึงแม้ว่าเคยตรวจแล้วอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงกลาง ๆ ก็ไปปรึกษาแพทย์อีกรอบนึงครับ เพราะว่าไข้มันเป็นตัวชี้ที่ค่อนข้างจะอันตรายชัดเจนนิดนึง

พอมีไข้ไปประมาณวันนึง วันกว่า ๆ แล้วก็มาเข้าโรงพยาบาล ไข้ก็เริ่มหาย ก็เริ่มไม่มีไข้ละซึ่งก็เป็นอย่างนั้นไปประมาณ 3-4 วัน รู้สึกว่าโอเคร่างกายเราสู้กับมันอยู่ในช่วงที่เป็นไข้ ฉะนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ผมก็คอยถามคุณหมอก็ไม่อยากดีใจมากในเรื่องของการที่ไข้หายเพราะว่าก็เข้าใจว่าโรคนี้เป็นโรคใหม่ หลาย ๆ คนก็ยังไม่เข้าใจมัน ทั้งหมอทั้งทั่วโลกก็ยังไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ผมก็ถามคุณหมอว่ามีโอกาสไข้กลับมาไหม คุณหมอบอกว่ามี ผมก็หวังว่ามันคงไม่กลับมา แต่ว่าในเมื่อวานหลังจากที่ไม่มีไข้มาสี่วัน ไข้ก็กลับมาจริง ๆ ซึ่งก็ตกใจ! แล้วอาจารย์ก็บอกว่าในช่วงนี้ไม่มีพวกความดัน สิ่งอื่น ๆ อย่างเช่น ออกซิเจน และการเจาะเลือดต่าง ๆ ก็ดูปกติดี

แต่เมื่อวาน (18 มี.ค. 2563) ก็มีไข้ขึ้นตั้งแต่ช่วงเที่ยง ๆ แล้วก็เลยมีการคุยกับอาจารย์ตอนเย็นว่า เขาจะเริ่มให้กินยา ซึ่งยาก็หลายตัวประมาณ 3-4 ตัวนะครับ เพื่อที่จะขับไล่มันออกไปจากร่างกายให้เร็วที่สุด ซึ่งถ้าปล่อยไปก็อาจจะออกเองแต่นานมาก ๆ ก็ไม่รู้ว่าบางคนอาจจะ 5 วัน 7 วัน บางคน 20 วัน 30 วัน ก็มี ก็ไม่รู้ไม่มีอะไรที่มันแน่นอน และถ้าเกิดปล่อยไปก็ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นเอง หรือแย่ขึ้นทันที เพราะฉะนั้นก็กินยาไป ก็มีประมาณ 4 ตัวน่าจะเป็น ยามาลาเรีย, ยาต้าน HIB เป็นต้น ซึ่งก็เป็นสูตรมาตราฐานที่คนทั่วโลกเขากินกันตอนนี้ น่าจะเป็นสูตรที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับการรักษาโควิด -19 ในปัจจุบันนี้นะครับ ก็กินไปยาก็แรง เมื่อคืนก็หลับไม่ค่อยลง แต่ก็รู้สึกว่าไข้มันเริ่มดีขึ้นเป็นช่วง ๆ พอตื่นเช้ามาก็เริ่มมีไข้อีกนิดนึงก็กินยาชุดต่อไปเรียบร้อยแล้ว

บางคนถามถึงเรื่องความเจ็บความทรมานของโรคนี้ เมื่อเป็นแล้วมันขนาดไหน ซึ่งบอกยากเพราะแต่ละคนก็มีความอดทนที่ไม่ตรงกัน สำหรับผมร่างกายมันไม่เท่าไร เป็นไข้ยังไงเราก็เคยเป็นมาแล้ว แต่ที่แตกต่างกันออกไปก็คือ ความกังวลมากกว่า การที่เราไม่รู้แม้กระทั่งหมอทั่วโลกก็ยังไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง เกี่ยวกับโควิด – 19 ถามอะไรไปก็ยังไม่แน่ใจ ยังไม่กล้าตอบเต็มปากว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะเขาก็ไม่รู้จริง ๆ เป็นโรคที่ใหม่มาก ๆ

และความกังวลนี้แหละมันคิดไปได้ไกลมาก ๆ ช่วง 2-3 วันแรกที่ไม่มีไข้ก็ไม่เจ็บนะแต่ว่ามันเจ็บใจ ในเมื่อเราคิดถึงคนที่ติดจากเรา แฟนผม รวมคนที่อาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เราเจอที่ทำงานไปแล้วต้องเสียงานเสียรายได้ไปในช่วงนี้ คิดถึงครอบครัวที่อาจจะติดจากเราได้ พ่อแม่ลูกนี้มันกังวลสุด ๆ และความเครียดตรงนี้แหละฮะที่มันเป็นอะไรที่ไม่มีคำตอบจากการรอคอย มันเจ็บปวดมากที่สุด

พอพ้นช่วงนั้นไปแล้วทุกคนกลับมาด้วยผลที่ลบ ยกเว้นเดียก็ดีขึ้นนิดนึงสภาพจิตใจ แต่มันก็เริ่มคิดถึงทุกคน เริ่มอยากเจอ เริ่มอยากกอด เพราะว่าก็อยู่ในห้องแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน บนเตียงนี้ก็อยู่เป็นหลักเลยล่ะประมาณ 85% ลุกไปก็แค่กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ

ความน่ากลัวของโรคนี้นะครับ บอกตรง ๆ ผมก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญหรือว่าความรู้มากมายก็ได้แต่ฟังที่คุณหมอเล่าและก็อ่านศึกษาเองบ้าง แต่ผมว่าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกแบบนี้ที่ผมมีแล้วกันกับการเป็นโรคที่ไม่มีวัคซีน ไม่มีวิธการรักษาที่ชัดเจน 100% ก็ทำตามที่เขาแนะนำเถอะครับ

เลี่ยงสถานที่ที่มีคนมากมายนะครับนั่นคือโอกาสที่ติดได้ชัดเจน และมันก็จะไม่จบ คนเรา โดนตัวกันน้อยลง เจอกันน้อยลง มันจะทำให้โรคนี้เป็นกันน้อยลง และก็จะยืดออกไปเพื่อที่จะได้ทำการวิจัยและหาวิธีการรักษาได้ในระยะนั้น เพราะฉะนั้นสถานที่บันเทิง, การแข่งขันกีฬาต่าง ๆ, ร้านอาหารใหญ่, หรืออะไรที่มันปิดได้ก็ปิด หรือไม่ก็เลี่ยง ก็เข้าใจว่ามันไม่ง่ายนะคนที่ต้องออกไปทำงานเพื่อที่จะหาเงินในวันต่อวัน

ก็เข้าใจเลยแหละ ต้องใช้ความอดทน คิดในแง่ว่าถ้าเกิดเราไม่ทำและยังใช้ชีวิตปกติโดยที่เราคิดแต่เงินในกระเป๋า วันนี้ในสุดท้ายคนก็เป็นกันเยอะ และสุดท้ายมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้นทำให้เร็วที่สุด และรีบกลับมาฟื้นประเทศฟื้นโลกเราให้เร็วที่สุด ผมว่าน่าจะเป็นทางที่ดีนะครับ

ย้ำอีกทีนึงสำหรับสถานบันเทิงที่ที่มีคนรวมตัวเยอะ 5 คน 10 คน ผมว่าก็เยอะแล้วนะก็มีโอกาสติดต่อกัน กรุณาทางรัฐทางตำรวจก็ช่วยดูกันด้วยว่าปิดกันจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แอบเปิดรอบดึกเพื่อที่จะโกยลูกค้าที่ไม่มีที่ไปและไม่กลัวหรือไม่มีสำนึกในการรักษากฎหมายตรงนี้ไว้ เพราะว่านี่เป็นเรื่องของประเทศชาติแล้ว ประเทศอื่นเวลาเขาปิดเขาปิดจริงจัง ดูอิตาลีเป็นประเทศที่คนเยอะขนาดไหน มีรายได้จากคาเฟ่ร้านอาหารมากขนาดไหนเขายังต้องทำให้ได้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยเราก็ต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นที่อยู่ในประเทศเราก็จะไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตอีกยาว ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้

ในช่วงสิ้นเดือนนี้จะมีคนพ้นช่วงเวลากักตัวตัวเองสิบสี่วันเยอะมาก ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะนับตั้งแต่รู้ว่าผมเป็นโควิด-19 ก็คือประมาณ 13 มีนาคม หรืออาจจะเริ่มนับก่อนนับหลัง ๆ ยังไงช่วงสิ้นเดือนพ้นกันเพียบเลย ขอบอกว่าทุกคนอย่าเพิ่งชะล่าใจกับโรคนี้นะครับ อย่าเพิ่งกลับไปใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยง นั่นก็หมายถึงว่าการไปเจอผู้คนมากมาย จำนวนคนเยอะ ยังไงมันเป็นที่รู้กันนะฮะจาก Case study ของโรคอื่น ๆ ว่านั่นคือโอกาสที่ทำให้โรคนี้มันอยู่กับเรายาว ๆ มีคนป่วยและคนเสียชีวิตเยอะจริง ๆ

เพราะฉะนั้นเรื่องจริงที่เราควรจะทำตามจริง ๆ พ้น 14 วัน อย่าออกไปให้ตัวเองเสี่ยงด้วยการออกไปเจอผู้คนมากมาย ไม่ได้แปลว่าต้องแพนิค หรือว่าต้องตกใจกังวลขนาดนั้นนะครับ แต่ว่ายังไงก็ควรจะต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังและอะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปครับผม เพราะการที่ทำแบบนี้มันเป็นการดึงเวลาของโรคนี้ ระหว่างนั้นถ้าคนป่วยน้อย ป่วยไม่มากเท่าไร ก็จะมีการหาวัคซีน หาวิธีการรักษาในช่วงนั้น โรคนี้มันจะได้หายไปครับ ฝากด้วยครับ