ประเด็นน่าสนใจ
- มงคลกิตติ์-พิเชษฐ’ แถลงประกาศยุบฝ่ายค้านอิสระ กลับเข้าเสริมทัพรัฐบาลลุงตู่ 2
- 2 พรรคยัน อยากแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง
- ยุบสถานะฝ่ายค้านอิสระ ตั้งแต่วันนี้ วันที่ 6 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
ที่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย หลังทั้ง 2 หัวหน้าพรรค ได้แถลงข่าวยุบฝ่ายค้านอิสระ และกลับเข้าร่วมงานกับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย
โดยมีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ร่วมแสดงความยินดีและจับมือนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย
นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนออกมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านั้นได้มีการแถลงข่าวในวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ในการเข้าร่วมกับพรรคฝ่ายรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ
เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หลังจากได้ 11 เสียงจาก 11 พรรคการเมืองแล้ว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมฝ่ายรัฐบาลเช่นกัน
และหลังจากการทำงานที่ผ่านมา ตนและเพื่อนร่วมพรรคได้มีการปรึกษาหารือ ซึ่งในตอนนั้นพรรคไทยศรีวิไลย์เป็นพรรคแรกที่ออกมาเป็นฝ่ายค้ายอิสระ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาล เป็นระยะเวลาประมาณ 4 เดือนกว่า
หลังจากนั้นพรรคประชาธรรมไทยได้มีการออกมาแถลงข่าว เพื่อออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 เป็นต้นมา ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์มาก่อน และน่าจะเป็นครั้งแรกของระเทศไทย
นอกจากนี้นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย และคณะกรรมการบริหารพรรค ได้กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในการเข้าร่วม ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายๆสาเหตุ
โดยตนจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องในอดีต โดยในการเข้าร่วมพรรครัฐบาลในครั้งนี้ ได้มีการคำนึงถึงว่าประเทศจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
โดยคิดว่าการเข้าเสริมพรรคกับรัฐบาลในครั้งนี้จะทำให้เกิดความมั่นคง มีเสถียรภาพ
ซึ่งมีผลให้ประเทศนั้นสามารถก้าวเดินได้ และอยากให้รัฐบาลไม่ต้องกังวลในเรื่องสถานการณ์ดังกล่าว แต่สามารถนำเวลาที่จะกังวลล่วงหน้านั้นไปใช้ในการแก้ไขปัญหาของประเทศมากกว่า เพื่อให้รัฐบาลได้มีโอกาสในการทำงานได้อย่างเต็มที่
การเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านอิสระ ได้แก่ พรรคไทยศรีวิไลย์ และพรรคประชาธรรมไทย เนื่องด้วยทั้งสองพรรคนั้น เคยประกาศเข้าร่วมรัฐบาลกับกลุ่ม 11 พรรคการเมือง จนนำไปสู่การเปิดสวิตช์ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน มีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภามาระยะหนึ่งแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 พรรคไทยศรีวิไลย์ได้มีการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล มาเป็นฝ่ายค้านอินสระในระยะหนึ่ง
และต่อมานวันที่ 10 กันยายน 2562 พรรคประชาธรรมไทยได้มีการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล มาอยู่ในฐานะฝ่ายค้านอิสระเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นฝ่ายค้านอิสระประมาณ 4 เดือนกว่า และทำหน้าที่ทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานอย่างถูกต้องชอบธรรม
และในช่วงที่ปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการเกิดเหตุการณ์สภาล่มถึง 2 ครั้ง และได้เข้าพบท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที 10 ธันวาคม 2562
ซึ่งได้มีการพูดคุยกับทั้งพรรคประชาธรรมไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ และได้พูดคุยถึงนโยบาย อุดมการณ์และความจริงใจของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ซึ่งอยากที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง
แม้อาจจะถูกผิด หรือถูกใจไม่ถูกใจบ้าง แต่ก็มีความจริงใจ และรักในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่ง และอยากให้ทั้งสองพรรคนั้นกลับเข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และทั้งสองพรรคได้ปรึกษาหารือ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้รัฐบาลมีสเถียรภาพมากยิ่งขึ้น
ทำให้รัฐบาลไม่ต้องเสียปริ่มน้ำ ซึ่งหากตัดสินใจในอีกด้านนั้น จะถือเป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัว เพราะทุกคนต่างเป็นตัวแทนของประชาชน แต่หากมองถึงภาพรวมของประเทศนั้น จะเป็นการฉุดรั้งประเทศ
ซึ่งในวันนี้ทั้งสองพรรคการเมืองได้ตัดสินใจอย่งแน่วแน่ ที่จะกลับมาเข้าร่วมฝ่ายรัฐบาล และยุบสถานะฝ่ายค้านอิสระ ตั้งแต่วันนี้ วันที่ 6 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
เพื่อที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ถือเป็นเจตจำนงค์ที่จะกลับเข้ามาเป็นกำลังเสริมในการพัฒนาประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตามช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว นาย มงคลกิตติ์ ยังกล่าวอีกว่า ในสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร ซึ่งมีระยะเวลาในการบริหาร 2 ปี 7 เดือนนั้น มีการสร้างหนี้สาธารณะ มากกว่า ในสมัยของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชามากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งจากการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเราลดลงเหลือเพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์กว่า เท่านั้น