ปราศรัย พรรคประชาธิปัตย์ เลือกตั้ง62

เลือกตั้ง62 : ประชาธิปัตย์ปราศรัยใหญ่ ย้ำจุดยืนไม่ร่วมการสืบทอดอำนาจ

“ชี้ชะตาประเทศไทย เลือกตั้ง 2562 กับเว็บไซต์ MThai.com“ เลือกตั้ง62 : ประชาธิปัตย์ปราศรัยใหญ่กลางลานคนเมือง ประชาชนเข้าร่วมรับฟังแน่น ย้ำจุดยืนไม่ร่วมการสืบทอดอำนาจ วันนี้ (22 มี.ค. 62) ที่ลานคนเมือง…

Home / NEWS / เลือกตั้ง62 : ประชาธิปัตย์ปราศรัยใหญ่ ย้ำจุดยืนไม่ร่วมการสืบทอดอำนาจ

“ชี้ชะตาประเทศไทย เลือกตั้ง 2562 กับเว็บไซต์ MThai.com

เลือกตั้ง62 : ประชาธิปัตย์ปราศรัยใหญ่กลางลานคนเมือง ประชาชนเข้าร่วมรับฟังแน่น ย้ำจุดยืนไม่ร่วมการสืบทอดอำนาจ

วันนี้ (22 มี.ค. 62) ที่ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งเวทีใหญ่ปราศรัยครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งที่ 24 มีนาคมนี้ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคพระชาธิปัตย์ กล่าวขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาให้กำลังใจในการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง และในฐานะที่เป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน สำนึกตลอดเวลาว่าเพราะบุญคุณของประชาชนที่มอบให้ ทุกรอยยิ้ม ทุกช่อดอกไม้ ทุกพวงมาลัย ไม่ลืม และเชื่อว่าความคาดหวังประชาชนที่จะไปกาบัตร 24 มีนาคมที่จะถึงนี้ คืออยากให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น

นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย เรามีคนแก่ที่ต้องดูแล ขณะที่คนในวัยทำงานมีน้อยลง เรามีหลายอย่างกดดันจากต่างประเทศ ประเทศไทยวันนี้หากเทียบกับ 8 ปี ที่แล้วความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้นมาก เพราะโอกาสของประชาชนที่จะออกจากความยากจนเป็นไปได้ยากกว่าในอดีต ดังนั้นทุกข์ของประชาชนคือภารกิจที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องรีบทำตั้งแต่วันแรก

ที่ผ่านมาทางพรรคใช้เวลา 5 ไม่ต่างกับวันที่เป็น ส.ส. โดยไปทำงาน และศึกษาเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน กลุ่มเกษตรกร ธุรกิจกว่า 100 ราย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ให้ความมั่นใจกับประชาชนได้ว่า เราพร้อมจริงๆ เพราะประกาศนโยบายก่อนพรรคอื่น และเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม เช่น การประกันรายได้เกษตรกร จ่ายเงินส่วนต่าง มัน ข้าว ข้าวโพด ยาง ปาล์ม และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ มีแผนครบทุกตัว นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนในเรื่องจุดยืนทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองที่ดีต้องมีประชาธิปไตยที่สุจริต และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีพรรคสาขา มีแค่ประชาธิปัตย์อย่างเดียว

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีคนพยายามสร้างเงื่อนไขในการเลือกตั้งของพรรคพรรคประชาธิปัตย์ โดยถามว่าจะเลือกพลังประชารัฐหรือไม่ ซึ่งเคยบอกชัดไปแล้วว่าถ้ามีการสืบทอดอำนาจก็ไม่ร่วม แต่ถ้าไม่มีเงื่อนไขนี้พลังประชารัฐก็คุยกันได้ แต่กลับถูกมองว่ากั๊ก ทั้งที่พรรคอื่นอย่างอนาคตใหม่ก็เคยพูดแบบนี้ ทำไมไม่โดนหาว่ากั๊ก

ซึ่งสิ่งที่ประชาชนกลัวมี 2 เรื่อง ที่เราเรียกว่าระบอบทักษิณ เราไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพฤติกรรมของทักษิณ แต่มันรวมหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งที่คนเอามาพูดมาทำต่างจากระบอบทักษิณตรงไหน ผมเชื่อว่าความเลวจะชนะความเลว เอาความเลวไปสู้กับความเลวคือการยอมแพ้แล้ว เพราะคุณยอมเลว

ส่วนเรื่องที่ 2 การที่ออกมาพูดว่าถ้ามีเขา บ้านเมืองจะสงบสุข ครั้งที่แล้วผมอยู่มีความวุ่นวายจริง วันแรกที่สภายกมือให้ผมเป็นนายกฯ เดินออกมาก็เจอก้อนอิฐ มีม็อบ 2 ฝ่าย มีความรุนแรง และปี 53 ที่รุนแรงเพราะอะไร เพราะเกิดการยึดทรัพย์ 4 หมื่นกว่าล้าน มีกลุ่มติดอาวุธ ประเทศไทยไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ และขณะนั้นมีรองนายกฯ ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผบ.ทบ. คือพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา และรอง ผบ.ทบ.ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งผมไม่เคยตำหนิท่านเลย ทั้งที่เคยบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องความมั่นคง ให้ดูเรื่องเศรษฐกิจ และไม่เคยมีแม้แต่เรื่องเดียวที่เสนอมาแล้วปฏิเสธ

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความกังวลเรื่องความขัดแย้งที่คนกลัวว่าจะเกิดขึ้นว่า จะไม่เหมือนเดิมแล้ว ทันทีที่มีการเลือกตั้งทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนในอดีต ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่กับนายอภิสิทธิ์แล้ว แต่เป็นกับปัญหาการสืบทอดอำนาจ

พร้อมกล่าวถึงการขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายของพรรคพลังประชารัฐ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นไปพูดว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็ทำตัวไม่เหมือนผู้สมัครนายกฯ คนอื่น แต่วันนี้กลับขึ้นปราศรัยร้องเพลง พูดไม่กี่ประโยคและลงเวทีไป ทั้งที่ผ่านมาในเวทีดีเบตที่มีการถกเถียง ทั้งพล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐกลับไม่ไป แล้วถ้าจะไปเป็นนายกฯ ก็อยากให้ลองคิดภาพว่าเข้าไปในสภาแล้วจะเจออะไรบ้าง

ขณะที่ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบปะประชาชน 127 เขต รวม 47 จังหวัด พบว่า สิ่งที่เป็นคำตอบคือพี่น้องมีปัญหาเศรษฐกิจจริงๆ ปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย สวนทางกลับสิ่งที่รัฐบาลประกาศไว้ว่า

รัฐบาลชุดนี้จะแก้ปัญหาความยากจนโดยจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชนสูงขึ้น ข้ามให้พ้นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ซึ่งได้เคยทำข้อมูลนี้ส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วว่าแต่ละจังหวัดลดลงอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ