เปิดกลยุทธ์ ‘ไฟนีออน’ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เจาะฐานลูกค้า ระดับกลาง
“กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ เรียกว่า “กลยุทธ์ไฟนีออน” ด้วยคุณสมบัติเด่นของไฟนีออน ที่จะส่องสว่างชัดเจน ก็แสดงให้เห็นว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะเน้นไปที่ความชัดเจนทั้งในเรื่องของ Branding และ Segmentation รวมไปถึงบริการหลังการขาย 360 องศา ”
“ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ทายาทธุรกิจรุ่น 2 กลุ่ม “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ที่เข้ามาสานต่อดูแลธุรกิจพัฒนาที่ดินในฐานะลูกสาวคนโตของ “ธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์” นักพัฒนาที่ดินชื่อดัง
ดร.เกษรา ยังได้กล่าวต่ออีกว่า พร้อมกันนั้นยังเตรียมปรับแบรนด์ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภคที่คิดจะซื้อบ้าน หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
“และอีกหนึ่งคุณสมบัติของไฟนีออน คือเรื่องของความพร้อมเปิด-ปิด ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที”
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2558 ดร.เกษรา กล่าวว่า ได้มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดนับจากการก่อตั้งบริษัท โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ และมีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับที่มีรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+)
พร้อมลุยพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recuring Income และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เนื่องจากในปีนี้เปิด 11 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเสนาฯที่มีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ และเตรียมเพิ่มทุนในหลายรูปแบบ ผ่านตลาดทุน เพื่อคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ปรับตัวสูงมากนัก”
สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ดร.เกษรา คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจค
อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในแง่ของปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในปีนี้ จะเป็นเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลาง เป็นผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
MThai News