ประเด็นน่าสนใจ
- พรรคอนาคตใหม่ได้จัดงานแถลงข่าว [เปิดร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า] “ปลดล็อกทุนผูกขาด ปลดปล่อยสุราคนไทย ร่างนโยบายที่จะทลายทุนผูกขาดแอลกอฮอล์ขนานใหญ่”
- ’ธนาธร’ ชี้เศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยการผูกขาด
- ยืนยันนโยบายต่างๆของพรรคอนาคตใหม่ ต้องถูกผลักดันในสภา
วันนี้ ที่ ณ ห้องวิวัฒนไชย ชั้น 8 สำนักงานใหญ่พรรคอนาคตใหม่ อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ พรรคอนาคตใหม่ได้จัดงานแถลงข่าว [เปิดร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า] “ ปลดล็อกทุนผูกขาด ปลดปล่อยสุราคนไทย ร่างนโยบายที่จะทลายทุนผูกขาดแอลกอฮอล์ขนานใหญ่”
นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวเปิดงาน พร้อมสมาชิกพรรคร่วมด้วย ซึ่งนาย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงเรื่อง “สะท้อนความจริงจากคนทำเหล้า เบียร์ อุปสรรค ปัญหา และโดนจับจริง”
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวถึงหัวข้อ “โอกาสและรายละเอียดร่างนโยบาย “สุราก้าวหน้า” และนายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ กล่าวถึงเรื่อง “ ร่างพ.ร.บ.ที่เปิดให้ทุกคนถกเถียง เปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ”
ทั้งนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้กล่าวระหว่างการเปิดร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ว่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจสุราแต่ระบบเศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยการผูกขาด โดยเฉพาะโมเดลการพัฒนาแบบประชารัฐนับแต่การรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา ซึ่งมีการจับคู่ตัวแทนฝ่ายรัฐโดยกระทรวงต่างๆ กับกลุ่มนายทุนใหญ่ อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับผู้แทนกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ
ขณะที่การส่งเสริมกองทุนและโครงสร้างพื้นฐานจับคู่กันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกับตัวแทนจากกลุ่มธนาคารกรุงเทพ รวมถึง การให้สัมปทานดิวตี้ฟรีเพียงรายเดียวแก่กลุ่มคิงพาวเวอร์ ด้วยแก้ไขกฎหมายให้การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ของพื้นที่รัฐไม่เข้าข่าย พีพีพี ( PPP ) หรือ คณะกรรมการการลงทุนร่วมระหว่างเอกชนและรัฐ ทำให้ทรัพย์สินกลุ่มทุนนี้เพิ่มขึ้น 32 เท่าใน 12 ปีจากเดิม 5,200 ล้านบาทกลายเป็น 160,000 ล้านบาท
โดยลักษณะเด่นของโมเดลแบบประชารัฐ คือ
1.ให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นหัวหอกทางเศรษฐกิจกำหนดทิศทางประเทศในนามประชารัฐ ให้เจ้าสัวและผู้บริหารยักษ์ใหญ่มาร่วมกำหนดนโยบาย
2.เปิดเสรีให้ต่างชาติมาลงทุนทั้งโครงการ EEC,รถไฟความเร็วสูงหรือถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย 3. การดูแลคนยากไร้ด้วยการจ่ายเงินผ่านระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โมเดลประชารัฐเช่นนี้ส่งผลในระยะยาวอย่างน้อย 4 ด้านคือ นำสู่การผูกขาดที่มากขึ้น, อำนาจแต่งตั้งสูงกว่าเสียงประชาชนซึ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมรุนแรงขึ้น, การเติบโตแบบไร้เทคโนโลยีและการกดทับกีดกันเสรีภาพ ที่สร้างอุปสรรคในการพัฒนามนุษย์และนวัตกรรม นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร ยังกล่าวอีกว่า ไทยจะออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้นั้น ต้องไม่ปล่อยให้ทุนใหญ่เข้ามาหามูลค่าเพิ่มจากภายในประเทศโดยเบียดเบียนพื้นที่ทางเศรษฐกิจของทุนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยทุนใหญ่ต้องแข่งขันทางเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ไม่ใช่การผูกขาดผ่านระบบเส้นสายหรือระบบอุปถัมภ์ ที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งในดอกผลแห่งการพัฒนา
ถึงแม้ยอมรับว่า ประเทศกำลังพัฒนาจำเป็นต้องมีกลุ่มทุนใหญ่ แต่บทบาททางเศรษฐกิจต้องออกไปแข่งขันกับโลกภายนอกด้วยนวัตกรรม แล้วดึงมูลค่าในตลาดโลกปรับเข้ามาสู่ประเทศไทย อย่างการแปรรูปน้ำยางพาราดิบเป็นน้ำยางข้นซึ่งเป็นการแปรรูปขั้นปฐมภูมิหรือการแปรรูปขั้นแรก ก่อนส่งขายต่างประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ควรให้ ทุนขนาดใหญ่เป็นผู้ดำเนินการอย่างทีรเป็นอยู่ แต่ควรสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออกส่วนการแปรรูปจั้นแรก ต้องให้ทุนรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางเป็นผู้ดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายนายธนาธร กล่าวอีกว่า หน้าที่ของพรรคการเมืองคือการทำนโยบายที่สัญญากับประชาชนไว้ให้เป็นจริงให้ได้ และแม้พรรคอนาคตใหม่จะเป็นฝ่ายค้าน แต่ขอยืนยันการนโยบายต่างๆต้องถูกผลักดันในสภา ทั้ง พ.ร.บ.รับราชการทหาร, พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิแรงงาน, พ.ร.บ.ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช. 17 ฉบับและ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าที่กำลังจะผลักดัน โดยต้องมีเสียงในสภามากกว่า 250 เสียง
ซึ่งพรรคมี ส.ส.อยู่ 80 คนไม่เพียงพอที่จะผ่านกฎหมายเองได้ จำเป็นต้องได้แรงสนับสนุนจากประชาชน โดยเชื่อว่า หากประชาชนสนับสนุนมากพอ ส.ส.จากพรรคอื่นก็จะไม่กล้าทัดทานเสียงประชาชนแล้วจะหันมาโหวตให้กับร่างกฎหมายที่พรรคอนาคตใหม่เสนอ