โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้า 4 คดีดัง ‘ป๋าชื่นอ้างเบื้องสูง-ระเบิดพารากอน-โกงสจล.-ไฟไหม้ SCB’ เร่งล่าตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมาย
วันนี้ (20 ก.พ.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ศาลได้อนุมัติออกหมายจับ นายบุญธรรม บุญเทพประทาน หรือ ป๋าชื่น เจ้าของโคลอนเซ่ ย่านพระราม 9 กรรมการบริษัทบ้านชุมทองจำกัด และบริษัทเขาใหญ่เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด ในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง มาตรา 112 ซึ่งเป็นแกนนำหลักกลุ่มนายทุนแอบอ้างเบื้องสูงใช้อุบายหลอกลวง และร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐนำที่ดินของราชการที่มอบให้กับประชาชนไปทำกิน ไปแปรผันออกโฉนดที่ดิน บริเวณเขาหนองเชื่อม ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาว่า
ล่าสุด ได้ส่งตำรวจชุดสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวนายบุญธรรมแล้ว โดยเชื่อว่าขณะนี้นายบุญธรรมยังหลบหนีอยู่ภายในประเทศ จึงได้ส่งหมายจับไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทุกจุดทั่วประเทศเพื่อสกัดจับกุม แต่ยังไม่สามารถจับตัวได้ และยังไม่มีการติดต่อขอเข้ามอบตัวกับตำรวจแต่อย่างใด ส่วนจะเชื่อมโยงกับเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แต่ยอมรับว่านายบุญธรรมมีความสนิทสนมกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพล.ต.ท.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจริง
ส่วนความคืบหน้าเหตุระเบิด 2 จุดบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสยาม-ห้างสยามพารากอน พล.ต.ท.ประวุฒิ ระบุว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดทางคดีได้ โดยขอร้องว่าอย่าตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้มีอิทธิพลกลุ่มใด แต่จากการตรวจสอบพบว่าผู้ที่ก่อเหตุ มีความรู้ความชำนาญมากกว่าการก่อเหตุอาชญากรรมอื่นๆ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวน
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในการติดตามตัวนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นบุคคลสำคัญในคดีนี้ ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนกำลังดำเนินการประสานงานกับอัยการ ในการขออนุมติหมายจับ เพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการส่งฟ้องต่อศาล และสามารถทำเรื่องประสานกับ 190 ประเทศ ในการส่งตัวกลับมา จากการสืบสวนคาดว่านายกิตติศักดิ์ ยังคงพักอยู่ในประเทศอังกฤษ และขณะนี้ก็กำลังดำเนินการติดตามตัวกลับมา
ส่วนการตรวจสอบสาเหตุเพลิงไหม้ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ในวันนี้ กองพิสูจน์หลักฐานจะประชุมหาความชัดเจนอีกครั้ง โดยจะนำกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุทุกตัวมาตรวจดูอีกครั้ง ส่วนสาเหตุขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ โดยจะยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ก่อนส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน
MThai News