ข่าวสดวันนี้ คดีบิลลี่ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อัยการสูงสุด

อัยการสูงสุด เผยสาเหตุ ไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ฆ่า บิลลี่ พอละจี

นายประยุทธ์ เพชรคุณ อัยการพิเศษสำนักงานคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) จังหวัดปัตตานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ระหว่างปี 2551-2557 กับลูกน้องอีก…

Home / NEWS / อัยการสูงสุด เผยสาเหตุ ไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ฆ่า บิลลี่ พอละจี

ประเด็นน่าสนใจ

  • ย้ำชัดหลักฐานไม่เพียงพอ
  • ด้านภรรยา บิลลี่ จ่อหาทางฟ้องต่อ เหตุเป็นไปไม่ได้ที่การตรวจสอบกระดูกของ จนท. จะไม่ใช่ของ บิลลี่

นายประยุทธ์ เพชรคุณ อัยการพิเศษสำนักงานคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) จังหวัดปัตตานี

อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ระหว่างปี 2551-2557 กับลูกน้องอีก 3 คน ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดี ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักเคลื่อนไหวชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อปี 2557

แต่ฟ้องเพียงข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 กรณีจับกุมนายบิลลี่ลักของป่า หรือน้ำผึ้ง แต่ปล่อยตัวไปทั้งที่ต้องนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ว่า

  1. เมื่อสำนักงานคดีพิเศษได้รับสำนวนดังกล่าวแล้ว นายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณา และต่อมานายชวรัตน์ วงศ์ธนบูลย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เห็นว่า

    คดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามคดีมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีคำสั่งที่ 26/2562 ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 53

    ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย นายปกาศิต เหลืองทอง อัยการผู้เชี่ยวชาญ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีพ.ต.ท.เดชาชัย ณ ลำปาง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด นายวรพงษ์ ทองแก้ว อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และนายเชาวพันธ์ ช่วยชู อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นคณะทำงาน
  2. คณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่า สำหรับข้อหาที่ 8 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์

    นายบุญแทน และนายธนเสฏธ์ ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือและร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใด

    ในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 123/2 ,172 และเห็นควรสั่งฟ้องนายกฤษณพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 44 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาที่ 1 2 และ 3 ให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น
  3. สำหรับข้อกล่าวหาตามข้อกล่าวหาที่ 2 3 4 5 6 และ 7 คณะทำงานเห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิดในข้อหาทั้งหมดดังกล่าว จึงเห็นว่าทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อกล่าวหา
  4. สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ตามข้อกล่าวหาที่ 1 คณะทำงานตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่าในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน

พยานยืนยันจำเลยทั้งสี่ปล่อยตัวนายบิลลี่แล้ว

โดยคณะทำงานเห็นว่า นายพอละจี ในชั้นแรกถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสี่ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้ง และรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวนายพอละจี หรือบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่า ภรรยาและมารดาของนายพอละจีไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี

ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ปล่อยตัวพอละจี เพราะเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 เมื่อศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้วได้มีคำสั่งยกคำร้อง เพราะมีพยานเบิกความต่อศาลว่านายพอละจีได้รับการปล่อยตัวแล้ว

ซึ่งภรรยาของนายพอละจีได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ทั้งชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาพิพากษายืน อันเป็นการชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวนายพอละจีไปแล้ว คดีเป็นที่สุด

และต่อมาพยานที่เคยเบิกความในคดีที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีได้ให้การใหม่กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตรงข้ามกับที่เคยเบิกความต่อศาล แต่พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงานเห็นว่า คำเบิกความต่อศาลดังกล่าวเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า

การพิสูจน์กระดูกไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคล เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น

การตรวจพิสูจน์กระดูกซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลางโดยวิธีไมโครควอเตรียม เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น โดยการตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่ากระดูกของกลางที่พบเป็นของบุคคลใด

สำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันฆ่านายพอละจี ที่ไหน เมื่อไหร่ และโดยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นล้วนเป็นสาระสำคัญที่อัยการต้องกล่าวบรรยายไว้ในการฟ้อง รวมทั้งสำนวนการสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานว่านายพอละจียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

คณะทำงานจึงมีความเห็นว่า ในชั้นนี้สำนวนยังมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้องผู้ต้องหา จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ และได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นของคณะทำงานไปยังนายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด และเมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาแล้วได้มีความเห็นและคำสั่งตามที่คณะทำงานเสนอ

ขณะนี้สำนักงานคดีพิเศษได้ส่งสำนวนพร้อมคำสั่งไปยังอธิบดีดีเอสไอ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หากมีความคืบหน้าคดีเป็นประการใด งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบต่อไป

ภรรยา บิลลี่ จ่อลุยร้องต่อ เหตุการหายตัวไปของสามี ต้องมีเงื่อนงำแอบแฝง

อย่างไรก็ตามหลังฟังคำชี้แจงของอัยการ นางพิณนภา พฤกษพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของนายบิลลี่ กล่าวว่า เข้าใจว่าอัยการยึดเอาเอาตามหลักฐานของการพิพพากษาชั้นต้นและยอมรับว่าเข้าใจยาก ถ้ายืนตามหลักฐานนั้น

เมื่อผู้สื่อข่าว ถามว่ายังติดใจสงสัยอะไรหรือไม่ มึนอ กล่าวว่า ยังติดใจสงสัยเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ เพราะคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจะไม่นำเอากระดูกไปลอยน้ำ เป็นความเชื่อ แต่ในครั้งนี้เมื่อตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว

เจอกระดูกแล้วพบว่ากระดูกตรงกับแม่ของบิลลี่ ความรู้สึกมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ใช่บิลลี่ เพราะเราไม่เอากระดูกลอยน้ำ และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงห้ามเอาไปลอย เป็นความเชื่อ จะเผาอย่างเดียว

ในความรู้สึกส่วนตัวเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนอื่น และ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการจะมีการยื่นฟ้องด้วยตัวเองหรือไม่ มึนอ กล่าวว่า คิดๆอยู่ว่าถ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ ก็อาจจะฟ้องเอง และต้องไปคิดใหม่ หาพยานหลักฐานใหม่ “ คนหายไปมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีเหตุผล ”

จากนั้น นางพิณนภา พฤกษพรรณ หรือมึนอ ได้ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง นำมายื่นให้กับนายประยุทธ์ เพื่อขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ และเชื่อในเหตุผลของการหายตัวไปของสามีว่าต้องมีเงื่อนงำอื่นแอบแฝง