ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีจ้างฆ่า “เจริญ วัดอักษร” แกนนำต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก เป็น 13 ต.ค.นี้ ขณะออกหมายจับ “ธนู หินแก้ว” เบี้ยวนัดศาล
วันที่ 10 ก.ย. ศาลอาญารัชดา เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน อาชีพรับจ้าง, นายประจวบ หินแก้ว อาชีพรับจ้าง, นายธนู หินแก้ว อาชีพทนายความ, นายมาโนช หินแก้ว อดีต (ส.จ.) ประจวบคีรีขันธ์ และ นายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก เป็นจำเลยที่ 1 – 5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันใช้จ้างวาน
จากกรณีเมื่อต้นปี 2547 พวกจำเลยได้ร่วมกันใช้ จ้างวานให้ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร อายุ 37 ปี ประธานกลุ่มรักษ์ถิ่นบ่อนอก และแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของบริษัท กัลฟ์ อีเลคทริค จำกัด
โดยโจทก์ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2547 ว่า เมื่อระหว่างประมาณต้นปี 2547 – 21 มิ.ย. 2547 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 3, 4, 5 ได้ร่วมกันใช้ จ้างวานให้จำเลยที่ 1, 2 ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. และ .38 ยิงนายเจริญที่ศีรษะ ใบหน้า และตามร่างกายรวม 9 นัดของนายเจริญ ขณะลงจากรถปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-บางสะพาน เลขข้างรถ 66-1443 หลังจากเดินทางไปยื่นข้อมูลความผิดปกติในการออกเอกสารสิทธิที่ดินสาธารณะให้กับคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา
เป็นเหตุให้นายเจริญถึงแก่ความตาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยได้ พร้อมแจ้งข้อหาดำเนินคดี โดยจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพตลอด ส่วนจำเลยที่ 3, 4 และ 5 ซึ่งเป็นพ่อลูกกันให้การปฏิเสธ
ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดี นายสเน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มมือปืนได้เสียชีวิต ขณะถูกควบคุมตัวในเรือนจำ การตายของทั้ง 2 มือปืน ก่อนวันเบิกความต่อศาลอาญาเพียงไม่กี่วัน ทำให้คำสารภาพของมือปืนทั้ง2เป็นเพียงพยานซัดทอด ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อ 30 ธ.ค.2551 ให้ประหารชีวิตนายธนู จำเลยที่ 3 ฐานจ้างวาน และยกฟ้องนายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4 และ 5 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ต่อมาวันที่ 16 มี.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายมาโนช นายเจือ รวมทั้งนายธนู โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานอ่อน ไม่น่าเชื่อถือ
โดยเมื่อถึงเวลานัดในวันนี้(10ก.ย.) มีเพียงนายมาโนช จำเลยที่ 4 เดินทางมาศาล พร้อมยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไป เนื่องจากนายเจือ จำเลยที่ 5 ป่วย พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์ต่อศาล
ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่ามีเหตุสมควร จึงให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปเป็น วันที่ 13 ต.ค.นี้ เวลา 09.30น. และให้ออกหมายจับนายธนู จำเลยที่ 3 เนื่องจากไม่มาฟังคำพิพากษาตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุผล
ขณะที่ในวันนี้ นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยาของนายเจริญ พร้อมด้วยชาวบ้านกลุ่มต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกได้เดินทางมายังศาลเพื่อฟังคำพิพากษา พร้อมระบุว่า “ศาลฎีกาถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ ที่จะพิสูจน์กัน และจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ แม้มือปืนทั้งสองคนจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม”
หากย้อนกลับไป…ในปี 2538 นายเจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ต.บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งพื้นเพเป็นชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด มีอาชีพค้าขายและธุรกิจบริการ มีร้านอาหาร ที่พักแบบชนบทอยู่ชายทะเล ต.บ่อนอก
เริ่มเข้ามามีบทบาทในการคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จนถูกข่มขู่ฆ่าหลายครั้ง กระทั่งการคัดค้านของชาวบ้านประสบผลสำเร็จ รัฐบาลมีคำสั่งให้ย้ายโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่ไปยังจุดสร้างใหม่ที่ จ.สระบุรี
จากความสำเร็จ..ในการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า นายเจริญได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรเพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ชาวบ้านทั่วประเทศ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่มีนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอธิการบดี
แม้ว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือของภาคประชาชน แต่นายเจริญยังคงต่อสู้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่มีทางที่โรงไฟฟ้าจะมาสร้างที่นี่ได้อีก โดยขัดขวางการออกโฉนดบนที่ดินสาธารณประโยชน์ หรือบริเวณที่สงวนเลี้ยงสัตว์คลองชายธง ซึ่งเป็นพื้นที่เหมาะสมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
จนเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2547 นายเจริญ ได้ถูกยิง “เสียชีวิต” บริเวณทางเดินเข้าบ้าน หลังเดินทางไปยื่นข้อมูลความผิดปกติ ในการออกเอกสารสิทธิที่ดินสาธารณะให้กับคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา
จากกรณีการเสียชีวิตของนายเจริญ ที่นับว่าเป็น “นักต่อสู้เพื่อชุมชน” ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันจัดสร้างรูปหล่อเจริญ วัดอักษร เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนสติผู้มีอำนาจ และให้ประชาชนได้ระลึกถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดด้วยชีวิตของเขา
“เจริญ เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช่นักเลง เคยเตือนเขาหลายครั้งว่าถ้าทำตรงนี้ก็ ต้องมีวันนี้เพราะมีตัวอย่างให้เห็น แต่เขาไม่ยอมถอย” นี่คือคำกล่าวของพระครูวิชิตพัฒนวิธาน เจ้าอาวาสวัดสี่แยกบ่อนอก พี่ชายของนายเจริญ ที่เคยกล่าวเตือนไว้
แม้ว่าวันนี้คดีดังกล่าวจะเดินมาถึงจุดสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ถือว่าสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ คงต้องจับตาอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค.นี้ ที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา
และนี่จะเป็นบทพิสูจน์ของกระบวนการยุติธรรมไทย ต่อกรณีการตายของประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อสังคมโดยสุจริต
ขอบคุณภาพจาก @AkaravutTv9,enlawfoundation, ข้อมูลประกอบ wikipedia
MThai News