ย้อนรอย 13 ปี ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’ สู่คำพิพากษา

ย้อนรอย 13 ปี ปม ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’ สู่คำพิพากษา ที่เป็นการชี้ชะตา ‘ชูวิทย์’ หลังให้การรับสารภาพหมดเปลือก ผ่านพ้นมาแล้วกว่า 13 ปี สำหรับเหตุการณ์อุกอาจ ‘รื้อบาร์เบียร์’ ที่เกิดขึ้นบริเวณใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท โดยเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้มีอิทธิพลที่เป็นกลุ่มนายทุนเข้าไปเอี่ยวกับคดีนี้…

Home / NEWS / ย้อนรอย 13 ปี ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’ สู่คำพิพากษา

ย้อนรอย 13 ปี ปม ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’ สู่คำพิพากษา ที่เป็นการชี้ชะตา ‘ชูวิทย์’ หลังให้การรับสารภาพหมดเปลือก

ผ่านพ้นมาแล้วกว่า 13 ปี สำหรับเหตุการณ์อุกอาจ ‘รื้อบาร์เบียร์’ ที่เกิดขึ้นบริเวณใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท โดยเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้มีอิทธิพลที่เป็นกลุ่มนายทุนเข้าไปเอี่ยวกับคดีนี้ จนตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลย อาทิ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ และ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อหาจ้างวาน ฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ ใน ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’

12071337_976193459111709_312681110_n

หากย้อนไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น. วันที่ 26 ม.ค. 2546 มีกลุ่มชายฉกรรจ์นับหลายร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮ บุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย จนเสียหายราบเป็นหน้ากลอง ซึ่งเรื่องราวความขัดแย้งนี้ เนื่องจากกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิมเพื่อใช้พื้นที่ทำประโยชน์ จนทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายถึงขั้นต้องใช้ความรุนแรง

ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ได้สงบลง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ทั้งสิ้นจำนวน 130 คน โดยพนักงานสอบสวน ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานกว่า 2 เดือน จึงนำตัวผู้ต้องหา ‘คดีรื้อบาร์เบียร์’ ส่งฟ้องเมื่อวันที่ 13 มี.ค.46 ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดรวมถึง นายชูวิทย์ ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

จากนั้นระยะเวลาดำเนินผ่านมานานหลายปี กระบวนการทางกฎหมายได้มาถึง ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า พฤติการณ์ของพวกจำเลยได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ และแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน จึงพิพากษาให้มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ ในเวลากลางคืน จึงสั่งจำคุก 5 ปี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งภายหลังฟังคำพิพากษา นายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็น ส.ส.และอยู่ระหว่างเปิดสมัยประชุม

กลับตาลปัตร เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลนัดจำเลย คือนายชูวิทย์ มาศาลฟังคำพิพากษาฎีกา แต่กลับต้องเลื่อนการฟังคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจาก นายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่ เป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้ส่งคำร้องของ นายชูวิทย์ ให้ศาลฎีกาพิจารณา โดยในวันนั้น ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค. 2559 เวลา 09.00 น.

และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ถือเป็นการชี้ชะตาของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในที่สุดก็ไม่รอด ศาลฎีกาตัดสินจำคุก นายชูวิทย์ 2 ปี คดีรื้อบาร์เบียร์ โดยไม่รอลงอาญา แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ จะได้ยื่นคำให้การใหม่ จากปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้พ้นคุกไปได้ เนื่องจากศาลเห็นว่า การสารภาพนั้นควรจะกระทำตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่นายชูวิทย์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วน จนเป็นที่พอใจและถอนฟ้องแล้ว พร้อมยังได้บริจาคที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีเหตุบรรเทาโทษ พิพากษาแก้ให้จำคุกนายชูวิทย์กับพวก เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากเดิมที่ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 5 ปี โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายชูวิทย์ คุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที

 

ติดตามข่าวสารอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ news.mthai.com

MThai News