“ประยุทธ์ ” แถลงผลงานรัฐบาลงานปีที่ 4 พร้อมย้ำชัด “ ไม่ลาออก “
วันนี้ ( 1 ก.พ. 62 ) ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการแถลงผลการดำเนินงานปีที่ 4 ของรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวแถลงผลงานตอนหนึ่ง โดยได้ชี้แจงสถานการณ์ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารประเทศ และสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการในระยะแรก คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ยุติความขัดแย้ง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ จัดระเบียบสังคม
โดยสำหรับผลงานโดดเด่นยังเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์การดูแลประชาชนระดับฐานราก ทั้งกองทุนหมู่บ้าน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ดูแลผู้มีรายได้น้อย กว่า 14.5 ล้านคน การเพิ่มเงินให้ผู้สูงอายุที่ถือบัตร การแก้ไขหนี้นอกระบบ ถึง 1 ล้าน 2 แสนคน การสร้างระบบพร้อมเพย์ สังคมไร้เงินสด และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยยืนยันว่าไม่ได้เอื้อให้กับนายทุนใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีโครงการบ้านล้านหลัง การฟื้นฟูชุมชนริมคลองลาดพร้าว รวมถึงการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU การปลดธงแดงด้านการบินพลเรือน หรือ icao การแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ สู่การรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน และการแก้ไข พ.ร.บ.ป่าไม้ ในรอบ 77 ปี เพื่อปลดล็อคให้ปลูกไม้มีค่าได้
ส่วนผลงานด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การท่องเที่ยวของไทยติดอันดับ 10 ของโลก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวไทย กว่า 38.27 ล้านคน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.20 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก จึงขอสื่อมวลชนอย่าเสนอข่าวที่ทำร้ายประเทศ
ขณะที่เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยังเป็นเรื่องการเปิดรถไฟฟ้า เพิ่มเติมอีก 2 สาย คือสายสีม่วง และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย การพัฒนาขนส่งทางราง 356 กิโลเมตร เป็น 3,531 กิโลเมตร การเร่งรัดรถไฟทางคู่ 7 เส้นทาง 993 กิโลเมตร การเร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง 472 กิโลเมตร เชื่อม 3 เส้นทาง คือสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา และการเร่งรัดสร้างมอเตอร์เวน์ 3 เส้นทาง 324 กิโลเมตร
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงผลงานด้านการพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมระบุว่า การส่งออกของไทยขยายตัวร้อยละ 7.3 มีการตกลงการค้าเสรี 12 ฉบับกับ 17 ประเทศคู่ค้า อีกทั้งตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 1.0 หรือประมาณกว่า 8 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งติดอันดับต้นๆของโลก แม้ดัชนีความเชื่อมั่นด้านคอร์รัปชั่นจะลดลงจากอันดับ 96 มาอยู่ที่ 99 แต่ระบุว่าการปราบปรามทุจริตหลายๆ อย่างก็ดีขึ้น
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า ตลอด 4 ปี ตนเองถูกเชิญให้เข้าร่วมงานสำคัญของต่างประเทศมาแล้ว 64 ครั้ง พร้อมชี้แจงว่าไม่ได้เดินทางไปซื้อของหรือท่องเที่ยวตามที่หลายคนวิจารณ์
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประเด็นการเมืองด้วยว่า การจะรับไม่รับนั่งบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่นั้น ต้องดูที่นโยบาย ซึ่งถือเป็นคนละเรื่องกับการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเอง เพราะตามหลักการ นายกรัฐมนตรีจะต้องลาออกหรือไม่ หากมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ในกฏหมายไม่ได้มีการกำหนดให้ลาออกและโดยหลักการทั่วโลกประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคยมีผู้นำคนใดในต่างประเทศลาออกเพื่อการเลือกตั้ง และในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีผู้นำประเทศคนใดลาออกจากตำแหน่งในระหว่างที่มีการเลือกตั้ง และยังมีบางคนที่ลงพื้นที่หาเสียงด้วยการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่
ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ทำแบบนั้น ดังนั้นขออย่ามากล่าวหา โดยในระหว่างการทำหน้าที่ระหว่างนี้ตนเองก็ศึกษาข้อกฏหมายและพิจารณาถึงสิ่งที่ทำได้และไม่ได้ ขณะเดียวกันตนเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจร่วมงานกับพรรคการเมืองใด ดังนั้นก็ต้องดูอีกที่ว่าทำได้หรือไม่ ขณะที่กรณีการลาออกของรัฐมนตรีในอดีตเกิดจากปัญหาในเรื่องของการทุจริตซึ่งแตกต่างจากกรณีของ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ที่ลาออกไปทำงานการเมือง แต่ไม่ได้มีความผิดใด และยังสามารถทำงานได้ตามกฏหมาย ดังนั้น จึงขออย่าไล่ล่า หรือมากดดันให้ตนเองลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะตนเองจะไม่ลาออก และการพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นการท้าทายแต่ชี้แจงด้วยเหตุผลและข้อกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม การไม่ลาออกจากตำแหน่ง ไม่ได้สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง เนื่องจากในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นนายกฯก็ไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง แต่ยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินมาตรฐานด้วยว่า ในวันนี้จะมีการออกแถลงการณ์โดยนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนเองอยากขอให้ประชาชนและคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับฝุ่นละออง PM 2.5 และPM 10 ซึ่ง PM 2.5 ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาใหม้ของเครื่องยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้นำ้มันดีเซล ไม่เกี่ยวข้องกับข้องกับการก่อสร้างอาคารหรือรถไฟฟ้า ส่วนข้อเสนอต่างๆ ทั้งการห้ามให้รถ 10 ล้อ วิ่งเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานครอยากให้ดูตามความเหมาะสม เพราะหากห้ามจะส่งผลกระทบเกี่ยวกับ การอุปโภคและบริโภคของประชาชน เพราะรถเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกใช้ในการขนส่งอาหาร
ส่วนข้อเสนอที่ให้มีการใช้เครื่องบินของกองทัพในการปล่อยน้ำและทำฝนเทียมส่วนตัวขอชี้แจงว่ายุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อมานั้น สำหรับใช้ในภารกิจเฉพาะด้าน ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในภารกิจลักษณะนี้ ถ้าหากนำมาใช้ เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเจ้าหน้าที่ จึงขอให้เห็นใจ และอย่าบิดเบือนข้อมูล หรือโจมตีรัฐบาลจนทำให้ประชาชนสับสน ไม่ให้ความร่วมกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังจะออกมา สำหรับมาตรการที่รัฐบาลจะเพิ่มความเข้มข้นในการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่อาจส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และย้ำว่าตนเองไม่ได้ขู่ ขณะเดียวกันในส่วนที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นตนเองไม่เคยโทษประชาชนแต่อย่างใด