เทรนด์รับประทานอาหารผสม ‘ชาร์โคล’

คาร์บอน หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ชาร์โคล กำลังเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามันมีโทษต่อร่างกายหรือไม่ โดยที่งานเทศกาลอาหารในเมืองซานฟรานซิสโก ของสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คาร์บอน หรือ ชาร์โคล กลายมาเป็นวัตถุดิบหลักที่ถูกใช้เป็นส่วนผสมของอาหารทุกประเภทตั้งแต่ไส้กรอกไปจนถึงแป้งทำคุกกี้ ชาร์โคล ส่วนใหญ่มักทำมาจากเปลือกมะพร้าว หรือ…

Home / NEWS / เทรนด์รับประทานอาหารผสม ‘ชาร์โคล’

คาร์บอน หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ชาร์โคล กำลังเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามันมีโทษต่อร่างกายหรือไม่ โดยที่งานเทศกาลอาหารในเมืองซานฟรานซิสโก ของสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คาร์บอน หรือ ชาร์โคล กลายมาเป็นวัตถุดิบหลักที่ถูกใช้เป็นส่วนผสมของอาหารทุกประเภทตั้งแต่ไส้กรอกไปจนถึงแป้งทำคุกกี้

ชาร์โคล ส่วนใหญ่มักทำมาจากเปลือกมะพร้าว หรือ ไม้ไผ่ที่นำมาเผาไฟ ซึ่งการผสมผงชาร์โคลลงไปในอาหารต่างๆ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมออนไลน์ การผสมชาร์โคลลงในอาหารไม่ได้ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยนไป แต่มันมีผลกับเนื้อสัมผัส

โคล เมเยอร์ เจ้าของร้าน “โดป คุกกี้ โด” ได้ผสมชาร์โคลลงไปในอาหารของเขาเพื่อสร้างมิติใหม่ ซึ่งเมเยอร์ บอกว่า “ปกติแล้วอาหารทั่วไปจะมีสีสันที่ทุกคนคุ้นเคย แต่เมื่อเราผสมชาร์โคลลงไปจะทำให้มันกลายเป็นสีเขม่าควัน ผู้คนก็จะรู้สึกชื่นชอบมันมาก” ชาร์โคล กลายเป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมไม่เว้นแม้แต่ของขวาน

ลอร่า อาธูอิล จากร้านชู เบเกอรี่ กล่าวว่า ขนมผสมชาร์โคลได้รับความนิยมต่อจากเทรนด์ขนมรูปยูนิคอร์นสีรุ้ง ซึ่งเราพอแล้วกับขนมทุกชนิดที่มีสีรุ้ง ตอนนี้เราต้องการสีดำ ก่อนที่จะรับประทานอาหารที่ผสมชาร์โคลผู้คนต่างถ่ายภาพอาหารของพวกเขาเพื่อโพสท์ในสังคมออนไลน์

คาร์ล่า ซีกัว หนึ่งในลูกค้าที่ซื้ออาหารผสมชาร์โคล บอกว่า ตอนนี้ทุกคนต้องถ่ายภาพอาหารก่อนรับประทาน จัดมุมให้สวย ถ่ายรูปก่อน จากนั้นจึงค่อยรับประทานมัน

ชาร์โคลส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพของผู้ที่รับประทานเข้าไปหรือไม่นั้น ปกติแล้วแพทย์จะสั่งให้ผู้ป่วยรับประทานคาร์บอนเพื่อดูดซึมพิษในร่างกายและแก้อาการจากการรับประทานยาเกินขนาด แต่หากว่ารับประทานมากจนเกินไปก็อาจจะก่อให้เกิดอาการท้องผูกรุนแรง และส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

อาคีเลช ปาลานิซามี ผู้เชี่ยวชาญด้านยารักษาโรค กล่าวว่า หากเรารับประทานยาภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากที่รับประทานชาร์โคลเข้าไปมันจะลดประสิทธิภาพของฤทธิ์ยา หรืออาจจะทำให้ยาไม่ส่งผลเลย นอกจากนี้หากผสมชาร์โคลลงไปในอาหาร ก็จะทำให้ผู้ที่รับประทานไม่ได้รับสารอาหาร

เนื่องจากวิตามินและแร่ธาตุจะถูกชาร์โคลดูดซึมไปหมด และขับออกจากร่างกาย ดังนั้นผู้คนจะไม่ได้รับประโยชน์จากอาหารอย่างเต็มที่

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสาธารณสุขประจำนครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ก็เพิ่งจะประกาศห้ามนำชาร์โคลมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร จากเหตุผลเดียวกัน แต่ยังไม่มีรายงานว่าเมืองอื่นๆ มีการสั่งห้ามเพิ่มอีก

อย่างไรก็ตาม นักชิมอาหารเชื่อว่ามันเป็นแค่เทรนด์ในการรับประทาน แต่เมื่อมีเทรนด์ใหม่ๆเข้ามา ความนิยมรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของชาร์โคลก็จะลดลงไปเอง