บทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เจาะลึกจุดเริ่มต้นของหมอดูชื่อดังแห่งยุค ฉายา “โอปป้าหน้าหล่อ” ไวท์ ถาวโรจน์ หรูเกียรติไชย หรือ อาจารย์ไวท์ หมอดูโอปป้า จากวิศวกรเครื่องกลสู่อาชีพหมอดู เป็นการเบนเข็มครั้งยิ่งใหญ่แบบสลับขั้ว หลังจากการถูกทัก “ดวงตกมรณะ” ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพหมอดู
บทสัมภาษณ์พิเศษ หมอไวท์ โอปป้า
MTHAI : ธุรกิจจิวเวลรี่ของครอบครัวปิดตัวไปในช่วงโควิด เป็นอย่างไรบ้าง ถือว่าหนักที่สุดในชีวิตเลยไหม?
หมอไวท์ : จริงๆปีนั้นถือเป็นปีที่หนักที่สุดเลย เราต้องปิดธุรกิจ จากคนมีรายได้กลายเป็นคนที่ไม่มีเงิน แต่เราก็ยังพอมีเงินที่สะสมเก็บไว้ แต่กินใช้ก็ต้องประหยัด จากคนที่หาเงินได้ ก็เหมือนว่าแต่ละวันต้องเซฟมากๆ หลายคนคงเป็นเหมือนกัน ก็คือหนักมากครับ
MTHAI : อะไรที่ทำให้ลุกขึ้นมาเอาดีบนเส้นทางสายมู?
หมอไวท์ :เริ่มต้นจากตอนนั้นรู้สึกว่าเราต้องหาที่พึ่งทางใจ แต่ว่าเราอยากรู้ดวงเราเลย ว่าดวงเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็เลยไปศึกษาศาสตร์ดูดวง พอไปเรียนดูดวงกับอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นระดับนายกสมาคม ก็เรียน 3 วันอาจารย์บอกวันที่ 3 เราจะดวงถึงฆาต ต้องเสียชีวิตในปีนั้น จะถูกฆาตกรรมภายในปีนั้น เราก็เลยตกใจ หลังจากนั้นก็เลยกังวล เป็นแพนิค กลัว เพราะว่าเราเชื่อเรื่องนี้จริงๆ ก็ไปศึกษาเพิ่มกับศาสตร์อื่นๆ พอผ่านปีนั้นไปแล้วเราไม่ได้ตาย ก็เลยรู้สึกว่า เอ..คำทำนายมันหลากหลาย มันไม่ได้ต้องทำนายว่าตายก็ได้ แต่ว่าเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนอาชีพใหม่ จบสิ่งนั้น ไปเริ่มต้นสิ่งใหม่ ดวงตกมรณะอาจมีความหมายแบบนี้ก็ได้ ก็เลยเริ่มต้นมาทำนายดวงกับชีวิตของคนอื่นครับ
MTHAI : จากเหตุการณ์นั้นให้อะไรกับหมอไวท์บ้าง?
หมอไวท์ :คือตอนนั้นเราอยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ เรารู้สึกว่าเราจะควบคุมสติไม่ค่อยดี เราก็จะเป็นแพนิค และรู้สึกกังวล แต่ตอนนั้น จากประสบการณ์เวลาที่เราโดนผลัก หรือโดนทำนายไม่ดีเนี่ย มันเป็นแค่เพียงคำทำนายเราจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ เราต้องเชื่อตัวเองมากกว่า หลังจากนั้นเลยทำให้ไวท์รู้สึกว่า โลกแห่งความเป็นจริงมันมีหลากหลาย คำทำนายก็มีหลากหลาย เพราะฉะนั้นเราอย่ายึดร้อยเปอร์เซ็นต์
MTHAI : เป้าหมายการเป็นหมอดูของหมอไวท์คืออะไร?
หมอไวท์ : ตอนแรกเริ่มที่ทำก็ทำจากความรู้สึก ก็ใช้ความรู้สึกตัวเองในการทำงาน เพราะเชื่อจิตวิญญาณในการทำงานมาตลอด เป็นคนที่เรียนจบวิศวะฯ แต่ตัดสินใจข้ามจากวิศวะมาทำจิวเวลรี่ และก็มาเป็นหมอดู เพราะว่าเลือกตามความชอบ มีเราดูว่า ถ้าเราทำตามความชอบมันจะทำได้ดี แล้วเราสนุกกับงาน เพราะวันนี้ไวท์ทำงาน ไปดูดวงให้กับลูกค้าเหมือนเราได้ช่วยเขาเหมือนกัน แล้วอีกอย่างเราต้องพยายามเอาตัวจริงออกมา ต้องรู้จริง ต้องใช้จิตวิญญาณแล้วคำทำนายจะศักดิ์สิทธิ์ จากศาสตร์วิชานี้มันก็ทำให้คุณค่าของการทำงานเป็นประโยชน์ต่อคน ก็ช่วยคนได้ในเรื่องของธุรกิจ เรื่องของชีวิต เพราะหนึ่งเลยเราเคยทำธุรกิจมา เราสามารถช่วยเขาไกด์ไลน์ในเรื่องของธุรกิจได้แล้วก็เอาเรื่องดวงมาผนวก มาทำให้เขามองในมิติที่กว้างขึ้น
MTHAI : ได้รับผลตอบรับอย่างไรบ้าง จากที่คนเขามาปรึกษาดูดวงแล้วเราได้ช่วยเหลือเขา?
หมอไวท์ : มีเคสนึง เขาจะฆ่าตัวตาย เขาหาทางออกในชีวิตไม่ได้ ซึ่งหมอก็คิดว่าหลายๆคนเป็น ในวันที่อาจจะย่ำแย่ พบวิกฤต มีหนี้สินเยอะ ในวันที่โดนโกง หรือว่าโดนหลอกในเรื่องของเงินอิเล็กทรอนิกส์เยอะมากในช่วงที่ผ่านมา มันทำให้เราได้เห็นว่าชีวิตของคนมันมีความลำบาก แต่ว่าลูกค้าที่คุยกับเรา แล้วเขาลุกมาสู้ได้ คือถ้าดวงของเขายังไม่ตก ยังมีอนาคต เพียงแต่รอเวลา เช่น เราบอกเขาว่า ดวงของคุณอีก 2 เดือนจะดีขึ้น เขาก็มีความหวังที่จะลุกขึ้นมาสู้ เหมือนเราได้ไปจุดไฟ จุดประกายแห่งความหวังให้เขา
หมอไวท์กล่าวเสริมต่อว่า : หากมีคนเข้ามาปรึกษาไปในทาง marketing จ๋าๆ หรือกลยุทธ์ในการหลอกคน ผมก็จะไม่ทำ ไม่อยากทำเพราะมูลค่าในการทำตรงนี้ มันคือการช่วยคน เหมือนเราได้เป็นที่ปรึกษาทางใจให้เขา ช่วยหาทางออกที่ดีให้ ผมว่าตรงนี้สำคัญกว่า
- ฟังแบบนี้แล้วแอดมินรู้สึกว่าหมอดูในยุคปัจจุบัน ได้ให้ประโยชน์แก่ผู้มาขอคำปรึกษาได้มากกว่าการดูดวง แบบที่หมอไวท์ตั้งใจเอาไว้
และสำหรับแฟนคลับหมอไวท์ ที่อยากติดตามผลงานด้านอื่นๆของคุณหมอโอปป้า เร็วๆนี้ ทาง MTHAI จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ที่ได้ร่วมงานกับคุณหมอแน่นอนค่ะ จะเป็นอะไรนั้น รอติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว ที่ MTHAI ทุกช่องทาง