ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีดีกรีความหล่อนายแบบแถวหน้าของเมืองไทย ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการควบ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด และเกรท โอเชียน ฟู้ด โดยบริษัทผลิตน้ำมันรำข้าวส่งออกที่ปัจจุบันมียอดขายเป็นตัวเลขพันล้านบาทต่อปี แต่แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ กลับ มาจากการสูญเสียผู้นำครอบครัว
ระหว่างที่เขาเดินทางไปเรียนต่อระดับปริญญาโทควบ 2 ใบ ใบหนึ่งด้านการเมืองการปกครอง สาขาภาวะผู้นำ ที่ John F. Kennedy School of Goverment Harvard University และปริญญาโทอีกใบด้านบริหารธุรกิจที่ Sloan, Massachusetts Institute of Technology (M.I.T) สหรัฐอเมริกา แต่การเรียนต้องหยุดพักชั่วคราว เมื่อพ่อเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เขาจึงมีภาระสานต่อธุรกิจน้ำมันรำข้าวของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเริ่มต้น
ทิม-พิธา เล่าว่า ธุรกิจนี้เริ่มจากพ่อที่ชอบเกษตรมาก โดยเป็นที่ปรึกษาให้กับ กรรมการ อตก. เป็นที่ปรึกษากระทรวงเกษตรฯ เรียกว่าหัวใจของพ่อมีแต่ธรรมชาติทั้งต้นไม้ ต้นข้าว ยังได้บินไปศึกษาดูงานในเมืองนอกหลายประเทศที่เจริญด้วยเกษตรกรรม แต่ทำไมไทยถึงไม่เหมือนเขา ทั้งๆที่ไทยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ทำไมต้องให้ฝรั่งมาคอยเอาผลประโยชน์จากเรา ไปทำให้ประเทศของเขาเจริญ
ผลผลิตเรียกว่า รำข้าว ที่นำไปให้หมูกินกิโลกรัมละ 3 บาท แล้วจริงๆรำข้าวมีน้ำมันที่มีผลดีต่อหัวใจมาก ถ้านำมาสกัดจะตกกิโลกรัมละ 200 บาท ซึ่งพ่อได้ทำให้กับภาคเอกชน จนมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ กระทั่งอายุ 59 ปี กำลังจะเกษียน พ่อเลยลาออกมาทำเอง โดยกู้เงินจากธนาคารเป็นตัวเลขที่สูงมากเพื่อเปิดบริษัทผลิตน้ำมันรำข้าวยี่ห้อ BOSO OIL FAT แต่งานอยู่ระหว่างฟอร์มทีมพ่อ(พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรฯ) ก็มาเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน
ในระยะเวลาที่เข้ามาสานต่องานของพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าธุรกิจจะมีความเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 200-300 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พนักงาน 200 ครอบครัวที่ทำงานอยู่กับเขาต่างมีความสุข ไม่มีใครลาออกเลยสักคนเดียว มาถึงวันนี้ “ทิม”มีความรู้สึกสบายใจ หายเหนื่อยที่ทำธุรกิจแทนพ่อจนสำเร็จ และสำหรับสินค้าที่ทำอยู่ในเวลานี้ยังไม่มีขายในเมืองไทย แต่ส่งขายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และแทบยุโรป
“วันนี้บริษัทผมใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ เป็นอันดับ 5 ของโลก พี่ฟังผมก่อนอย่าเพิ่งอู้หูคือถ้าพูดแบบนี้ไม่น่าเชื่อ ต้องฟังก่อนว่า เรื่องข้าวประเทศอะไรมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีข้าวบริษัทผมก็คงไม่มีวัตถุดิบที่จะมาทำ ประเทศอื่นเขาถึงได้ซื้อจากประเทศเรา” นี่เป็นผลงานการบริหารที่เขาพูดด้วยความภูมิใจ
ย้อนเวลากลับไปในวัยเด็ก หนุ่มทิม เขาเริ่มเรียนที่ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียน แค่ ป.6 ตอนอายุ 12-13 ปี และมักจะมีเรื่องต่อยกับเพื่อนเป็นประจำ แถมยังสูบบุหรี่ เที่ยวเตร่ไม่สนใจครอบครัว ในที่สุดแม่คงเห็นท่าไม่ดีเลยส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์ ช่วงที่ไปเรียนอยู่ที่นั่นทุกอย่างเงียบไม่มีอบายมุข วันๆ ไม่มีอะไรทำ จึงได้ทบทวนตัวเองตั้งใจเรียนจนกลายเป็นนักเรียนเกรดเอ
เมื่อเรียนจบ ม.6 ที่นิวซีแลนด์ ได้กลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ การเงินการธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1
“ผมอยากบอกกับทุกคน หรือเพื่อนรุ่นเดียวกันที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นนักบริหารว่า ปัญหามาปัญญามี มันไม่มีฟอร์มอะไรตายตัว จะบอกว่าผมมีหลักการอย่างโน้นอย่างนี้มันไม่ใช่ เพียงแค่มีอะไรอย่าไปกลัวมัน ทุกๆ อย่างมันมีทางแก้ เพราะปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม แต่ถ้าคุณกลุ้มแสดงว่าคุณจบแล้ว เพราะคิดอะไรไม่ออก(หัวเราะ) ตราบใดที่เรายังต้องบริหารงาน ปัญหาจะเข้ามาเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่าจะไม่มา ร้อยวันพันปียังก็ต้องมา มันมาเมื่อไหร่คุณมีปัญญาแก้มันได้ก็จบ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ช่างมันเพราะเราได้ทำเต็มที่แล้ว”
นี่เป็นวิกฤตชีวิตที่สร้างโอกาสให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สานต่อธุรกิจของพ่อจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาก็ทิ้งท้ายว่าในอนาคต หากได้ทำงานการเมือง ก็จะเข้ามาดูงานถนัดที่เกี่ยวกับเกษตร กระทรวงเกษตร หรือไม่ก็การค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพราะอยากนำความรู้ที่เรียนมาพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น (test)