การบริหารจัดการในภาวะ “วิกฤตการเมือง”

การบริหารจัดการในภาวะ “วิกฤตการเมือง” จากเกิดวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากจะกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวมากที่สุดแล้ว ยังได้ส่งผลต่อภาคธุรกิจอื่นๆอีกหลายแขนง ล่าสุด ดร.สหนนท์ ตั้งเบ็ญจสิริกุล บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด (ดีลอยท์…

Home / NEWS / การบริหารจัดการในภาวะ “วิกฤตการเมือง”

การบริหารจัดการในภาวะ “วิกฤตการเมือง”

19-1

จากเกิดวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากจะกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวมากที่สุดแล้ว ยังได้ส่งผลต่อภาคธุรกิจอื่นๆอีกหลายแขนง ล่าสุด ดร.สหนนท์ ตั้งเบ็ญจสิริกุล บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด (ดีลอยท์ ประเทศไทย) ได้เขียนบทความเรื่อง การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตการเมือง โดยระบุว่า

จากการติดตามข่าวสารในสื่อต่างๆ นั้น เราจะพบว่าชุมนุมทางการเมืองได้กลายเป็นปรากฏการณ์ปกติอันหนึ่ง ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการเมืองและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย การชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มีความตึงเครียดมาตั้งแต่ปลายปี 2556 จนกลายเป็นวิกฤตการเมืองต่อเนื่อง จนถึง แบงค็อกชัตดาวน์ (Bangkok Shutdown) เริ่มเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2557 นั้น ได้ส่งผลกระทบ ต่อธุรกิจในวงกว้าง และยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างไรและเมื่อใด

หากวิกฤตครั้งนี้ ยืดเยื้อและส่อว่าจะมีการใช้ความรุนแรง บริษัทต่างๆ จะประสบกับความยากลำบากทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการบริหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

ลูกค้าต่างชาติของดีลอยท์มองว่า วิกฤตการเมืองไทยครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลายด้าน อาทิ ระบบลอจิสติกส์และซัปพลายเชนเกิดการสะดุด รายได้จากการดำเนินธุรกิจหดตัว บริษัทบางแห่งหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราว ทั้งนี้ ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวนมาก ยกเลิกการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย และยกเลิกการจองห้องพักในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

22-1

ในส่วนของธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้างได้รับผลกระทบ คือ ยอดขายที่อยู่อาศัยชะลอตัว และโครงการก่อสร้าง เกิดความล่าช้า สำหรับบริษัทญี่ปุ่น ที่ประกอบธุรกิจบริการด้านการเงินและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ มีความ วิตกกังวลว่าถ้าวิกฤตการเมืองครั้งนี้ยืดเยื้อจะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างมาก และการลงทุน ในโครงการใหม่ๆ จะชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตด้านต่างๆเป็นอย่างดี มีแนวโน้มที่จะสามารถลดผลกระทบจากวิกฤตการเมืองครั้งนี้ได้ดี และยังอาจแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อีกด้วย กล่าวอีก นัยหนึ่ง ความสามารถในการตอบสนองและฟื้นตัวจากวิกฤตการเมืองได้อย่างรวดเร็วถือเป็นหนึ่งในปัจจัย แห่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน

ดังนั้น  บริษัทควรจะพัฒนาแนวทางรับมือภาวะวิกฤต (Business Continuity Management) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และมีแผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) เพื่อพร้อมรับวิกฤตการเมืองและวิกฤตด้านอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว ผู้บริหาร ระดับสูงต้องแสดงความเป็นผู้นำและจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นต่างๆ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถแก้ไขปัญหา ในภาวะวิกฤตได้อย่างทันท่วงที

20

จากการที่มีผู้ชุมนุมยังคงปักหลักชุมนุมในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง และอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงได้ทุกขณะ บริษัทห้างร้านต่างๆ ควรเตรียมกลยุทธ์รับมือภาวะวิกฤตและแผนการดำเนินธุรกิจ ต่อเนื่องให้พร้อมเสมอ โดยในระยะ 1-2 เดือนนี้ ผู้บริหารระดับสูงควรให้ความสำคัญกับ

* การบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยมีแผนการทำงานของพนักงานในภาวะวิกฤต เพื่อไม่ให้การบริการลูกค้าเกิดการชะงัก

* การบริหารเงินสดและสภาพคล่อง เพื่อรักษาระดับเงินสดและสภาพคล่อง และความสามารถ ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการดำเนินธุรกิจ

* การปรับราคาสินค้า/บริการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม และที่พักอาศัยที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เพื่อรักษาฐานลูกค้า และประคับประคองรายได้ให้อยู่ในระดับที่อยู่รอดได้

* การลดต้นทุนดำเนินงาน โดยบริษัทควรมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นและสามารถรักษาธุรกิจกับลูกค้าไปพร้อมๆกัน เช่น การให้พนักงานสามารถทำงานจากที่พักอาศัย การประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

* การเคลมประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Claim หรือ BIC) ในกรณีที่บริษัททำประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักไว้แล้ว  บริษัทต้องตรวจสอบว่าสัญญาจะชดเชยค่า เสียหายอันเนื่องมาจากธุรกิจหยุดชะงักในกรณีใดบ้าง และต้องเข้าใจขั้นตอนการเคลมประกันภัย ครั้งนี้ ซึ่งอาจแตกต่างจากการเคลมประกันภัยหลังจากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554

* การปรับแผนการขายและแผนปฏิบัติการ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และสามารถจัดสรรทรัพยากร เพื่อสนับสนุนงานขายและปฏิบัติการได้อย่างเหมาะสม

* การปรับลดประมาณการผลกำไร คณะผู้บริหารระดับสูงต้องพิจารณาทบทวนเป้าหมายทางการเงิน และปรับประมาณการผลกำไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น

23

กรณีที่วิกฤตการเมืองไทยเกิดยืดเยื้อถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2557  บริษัทต่างๆ ควรเตรียมแนวทางรับมือวิกฤต และแผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อสร้างระบบการทำงานใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทางธุรกิจที่ไม่ปกติ ตัวอย่างของแผนงานในระยะยาว เช่น

การรักษาฐานลูกค้า  ปรับนโยบายจัดซื้อจัดจ้าง /เจ้าหนี้การค้า  ปรับห่วงโซ่อุปทาน ปรับโครงสร้างเงินทุนของกิจการ พิจารณาความเป็นไปได้ในการซื้อ และควบรวมกิจการ ปรับโครงสร้างองค์กร การสื่อสารแนวทางและแผนการรับมือวิกฤตให้ผู้ถือหุ้นรับทราบ (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ควรให้ความสำคัญ) เป็นต้น

ถึงแม้ว่าบริษัทได้สร้างแนวทางรับมือวิกฤตและมีแผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และได้ทำประกันภัยธุรกิจ หยุดชะงักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรายังคงต้องพิจารณาประเด็นคำถามที่ท้าทาย ดังนี้

24

* ผู้บริหารระดับสูงได้กำหนดแนวทางกำกับดูแลกิจการในกรณีที่เกิดวิกฤตการเมืองและวิกฤตอื่นๆ อย่างชัดเจนหรือไม่

* ผู้บริหารระดับสูงได้กำหนดให้พนักงานทุกคนซ้อมแผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องอยู่เป็นประจำหรือไม่

* ผู้บริหารระดับสูงจัดสรรทรัพยากรและเงินลงทุนเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์รับมือวิกฤตและแผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องอย่างเพียงพอหรือไม่

กล่าวได้ว่า ประเด็นเหล่านี้สะท้อนถึงคุณภาพและขีดความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ ของบริษัทในภาพรวม

โดยสรุป ผู้บริหารระดับสูงต้องกำหนดแนวทางรับมือภาวะวิกฤตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และต้องมี แผนการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องที่มีส่วนช่วยให้บริษัทสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ที่มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของบริษัท เพื่อประคับประคองธุรกิจ และรักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นในภาวะวิกฤตการเมืองไทยครั้งนี้

Mthai news