พปชร. ยกทัพปราศรัยใหญ่สมุทรปราการ ชูนโยบายไม่ขายฝัน ด้าน “สุริยะ” ขอประชาชนอย่าเลือกพรรคตระกูล “เพื่อ” หากไม่อยากเห็นประเทศกลับสู่ความขัดแย้ง
วันที่ 24 ก.พ. 62 ที่สนามกีฬาบางปลา จ.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐจัดเวทีปราศรัยใหญ่ โดยมีแกนนำพรรค ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค , นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค , นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน , นายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์ภาคกลาง
ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ คือ นายอัครวัฒน์ อัศวเหม , นายยงยุทธ สุวรรณบุตร และนายกรุงศีวิไล สุทินเผือก รวมถึง นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้า จ.สมุทรปราการ สลับสับเปลี่ยนขึ้นเวทีปราศรัย ท่ามกลางประชาชน ที่มารับฟังกว่า 2 หมื่นคน
นายสุริยะ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า มีคนพูดว่าการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. เป็นการต่อสู้ระหว่างเผด็จการและประชาธิปไตย โดยพยายามวาดภาพให้พรรคพลังประชารัฐเป็นเผด็จการ ที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจ พยายามวาดภาพให้ พล.อ.ประยุทธ์ เลวร้าย
ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วหากจำกันได้ เมื่อปี 2556 มีความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย คือเหลืองกับแดง และความขัดแย้งนั้นดำรงอยู่นานถึง 9 เดือน บ้านเมืองเสียหาย ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เศรษฐกิจยับเยิน คนที่ทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เรียกทุกฝ่ายให้มาพบเพื่อพุดคุยและหาทางออกร่วมกัน
จึงเสนอให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ในขณะนั้นจัดการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นทางออกให้ประเทศ แต่ถูกฏิเสธ เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องยึดอำนาจ บ้านเมืองจึงกลับมาสงบ ซึ่งท่านทำเพื่อประชาชน แม้จะถูกเรียกว่าเป็นเผด็จการ แต่ท่านก็ทำเพื่อประชาชนไม่เคยทำเพื่อครอบครัวเหมือนพรรคเพื่อไทย
ที่เมื่อชนะการเลือกตั้งเข้ามา ก็ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อช่วยให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นจากข้อหาทุจริตคอรัปชั่น ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัว จนกระทั่งล่าสุดที่มีการพยายามแก้ปัญหาเผด็จการรัฐสภาด้วยการออกกฎหมายป้องกัน แต่นายทักษิณก็มีความพยายามทำให้พรรคการเมืองของตัวเองแตกพรรคออกมาเพื่อต่อสู้ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนอย่าเลือกพรรคตระกูลเพื่อทั้งหลาย หากไม่อยากให้ประเทศกลับไปสู่จุดเดิม
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่รวมความเจ็บปวดของคนการเมืองจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง กปปส. เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และพลังชล ที่รอเวลาจะพบพรรคการเมืองที่เป็นความหวัง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐคือพรรคการเมืองนั้น พรรคที่เป็นความหวังของคนไทยในการก้าวไปข้างหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง
วันนี้รู้สึกชื่นใจที่เห็นคนสมุทรปราการจะมาร่วมกันจับมือ เพื่อทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นทางออกของคนไทย โดยจะไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูก วันนี้พรรคพลังประชารัฐถูกโจมตีทุกวัน เราก็ได้แต่ยิ้ม แต่หลังจากนี้จะไม่ยิ้มอย่างเดียวแล้ว แต่จะสู้ จะไม่ยอม โดยเฉพาะการโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่หากไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ ใครหน้าไหนจะทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่ขัดแย้ง
อยากถามว่าเคยเห็น พล.อ.ประยุทธ์ โกงมั้ย หลอกลวงหรือไม่ ตรงกันข้ามท่านมีแต่ความจริงใจ รักประชาชน แต่คนแบบนี้กลับถูกด่าทุกวัน ดังนั้นขอให้ชาวสมุทรปราการมาร่วมเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองประเทศไทย โดยวันที่ 24 มี.ค.ให้เข้าคูหากาพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 7 เขตของสมุทรปราการ เพื่อเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
นายอุตตม กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาเป็นจำนวนมาก พร้อมยืนยันพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มีความพร้อมทั้ง บุคลากรที่มาจากหลากหลาย มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ และมีคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้แม้ตนเองจะไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ แต่ก็เคยทำงานการเมืองเมื่อ 10 ปีที่แล้วก่อนจะถูกปฎิวัติ
จนกระทั่งได้รับการติดต่อจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อ 3 ปีแล้ว ให้เข้ามาช่วยทำงานให้บ้านเมือง จนนำมาสู่การตั้งพรรคพลังประชารัฐในวันนี้ ขณะเดียวกันพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่รับฟังจากประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำได้จริง ไม่ขายฝัน
ซึ่งหากพรรคได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาล จะทำให้ จ.สมุทรปราการ เป็นเมืองน่าอยู่ เป็นเมืองหลักของภาคอุตสาหกรรม เพราะจ.สมุทรปราการถือเป็นจังหวัดที่สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจคือของเมืองอุตสาหกรรม มีเม็ดเงินลงทุนถึง 6 แสนล้านบาทอยู่ในจังหวัดนี้
นอกจากนี้ ยังจะผลักดันให้ จ.สมุทรปราการเป็นศูนย์กลาง และเป็นประตูเชื่อมต่อจาก กทม. สู่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพราะ จังหวัดนี้ มี 10 อุตสาหกรรมหลัก ที่ภาครัฐผลักดันอยู่แล้ว รวมไปถึงจะสนับสนุนให้ จ.สมุทรปราการ เข้าไปอยู่ในเขตอีอีซี
นายอุตตม กล่าวด้วยว่า จะสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างโอกาสใหม่ๆ รวมถึงสร้างเมืองด้วยการดูแลสภาพแวดล้อม ดูแลมลพิษ ผังเมือง เช่น ปรับให้มีพื้นที่กันชนระหว่างโรงงานและที่อยู่อาศัย ส่วนการคมนาคมจะดูเรื่องรถไฟ โมโนเรล สร้างศูนย์การประชุมที่จังหวัดนี้
รวมไปถึงการดูแลสวัสดิการการของคนของพื้นที่ โดยเฉพาะคนงานในโรงงานกว่า 8 พันโรงงาน แก้ปัญหาหนี้นอกระบบทันที ขณะที่ด้านสาธารณสุขจะเพิ่มหมอและพยาบาลอีก 1,600 คน ตามนโยบายหมอถึงบ้านพยาบาลถึงเรือน ดูแลแม่และเด็กตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึง 6 ปี ตามนโยบายมารดาประชารัฐ