จาก 5 เด็กน้อยธรรมดา…สู่นักธุรกิจร้อยล้าน
ชีวิตในวัยเด็กของหลายๆคน หรือแม้แต่เด็กส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ถือเป็นช่วงเวลาที่แสนจะพิเศษที่ไม่ต้องคิดอะไรมากนัก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาเรียนก็เรียน และถึงเวลาเล่นก็เล่น ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของเด็กทั่วไป แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่ใช้เวลาในวันว่างหันมาทำธุรกิจเล็กๆ แต่กลับกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้หลายร้อยล้าน จนสามารถหาเลี้ยงตนเองและช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้อีกด้วย
วันนี้จึงจะขอยกตัวอย่าง เหล่านักธุรกิจตัวน้อย ที่มีธุรกิจเป็นขอตัวเอง และสามารถหาเงินจนทำรายได้รวมหลายร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่ยังเล็ก จนใครๆต่างพากันเรียกพวกเขาว่า”เด็กน้อย…ร้อยล้าน”
1. มอลลี่ ไพรซ์
มอลลี่ ไพรซ์ เป็นหนูน้อยชาวเวลส์วัย 6 ขวบ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีอายุน้อยที่สุดในสหราชอาณาจักรไปแล้ว โดยเธอได้สร้างร้านขนมหวานของเธอเองขึ้นมา และบริหารมันร่วมกับ เบ็คกี้ คุณแม่ของเธอที่คอยช่วยเหลือเธออยู่ห่างๆ
ซึ่งเธอจะบริหารเวลาของเธอ โดยจะเรียนหนังสือในวันจันทร์-ศุกร์เหมือนเด็กทั่วไป แต่จะทำงานในวันเสาร์ และจะตื่นเวลาตี 5 ในทุกๆ วันอาทิตย์ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะไปกักตุนสินค้าใหม่ โดยเธอมักจะขอให้เพื่อนๆของเธอลองขนมหวานให้ เพื่อที่จะทำการตัดสินใจว่า อันไหนเป็นอันที่ดีและอร่อยที่สุด ซึ่งตอนนี้เธอได้ขยายธุรกิจรวมกว่า 3 สาขา จนเป็นที่รู้จักของชาวเวลส์ไปแล้ว
2.อิซาเบลล่า บาร์เร็ตต์
อิซาเบลล่า บาร์เร็ตต์ หรือ “เบลล่า” อายุเพียง 6 ขวบ เป็นหนูน้อยชาวเมืองโรด ไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจทำเครื่องประดับ และเครื่องสำอางเด็กภายใต้ชื่อ กลิตซี่ เกิร์ล (Glitzy Girl) ที่ทำรายได้ให้เธอและแม่ กว่า 1,000,000 ดอลลาร์ หรือ ราว 30,000,000 บาท ต่อปี
โดยซูซานน่า วัย 39 ซึ่งเป็นทั้งแม่และหุ้นส่วนธุรกิจของกลิตซี่ เกิร์ล เล่าถึงที่มาของธุรกิจว่าเริ่มต้นมาจากการประกวด ซึ่งอิซาเบลล่าเป็นอดีตนางงามเด็กที่เดินสายประกวดนางงามมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จากทุกครั้งที่อิซาเบลล่าคว้ามงกุฎได้เธอก็จะสั่งทำกำไล แล้วสลักชื่อตำแหน่งนางงามที่อิซาเบลล่าคว้ามาได้บนกำไลนั้น จนกลายเป็นธรรมเนียม และ เคล็ดลับ ภายในครอบครัว
ซึ่งปรากฏว่า ใครมาเห็นกำไลเหล่านั้นก็ชอบ อิซาเบลล่าจึงคิดขึ้นมาได้ว่า เธอกับแม่ของเธอน่าจะทำกำไลขาย และเป็นที่มาของธุรกิจกลิตซี่ เกิร์ล ที่เปิดตัวเมื่อปี 2555 และปัจจุบันได้ขยายผลิตภัณฑ์ทำลิปสติก และเครื่องสำอางสำหรับเด็กๆ หลายชนิดด้วยกัน
3.ฮาร์ลี จอร์แดน
ฮาร์ลี จอร์แดน เด็กชายวัย 8 ขวบ จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่กลายเป็นซีอีโอตัวน้อย หลังจากได้ดำเนินธุรกิจขายลูกแก้ว ผ่าน Marble King เว็บไซต์ของตัวเอง เมื่อ 2 ปีก่อนจนสามารถหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัวของตนเองได้อย่างสบายๆ
หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ ฮาร์ลี จอร์แดน อายุได้เพียง 5 ขวบ เขาก็มีวิถีชีวิตเช่นเด็กปกติทั่ว ๆ ไป คือไปโรงเรียนและเล่นสนุกกับเพื่อนๆ โดยสิ่งที่เขาชอบเล่นนั้นก็คือเจ้าลูกแก้วลูกกลม ๆ ที่มีสีสันสดใสนั่นเอง
แรกเริ่ม ฮาร์ลี จอร์แดน จะสะสมลูกแล้วและแบ่งไปขายให้กับเพื่อน ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีรุ่นพี่ที่โรงเรียนขอซื้อลูกแก้วทั้งหมดจากจอร์แดน หลังจากนั้นเองเขาก็เริ่มคิดที่จะทำการค้าอย่างจริงจัง
โดยแรกเริ่มนั้น เขาอ้อนขอเงินก้อนหนึ่งจากแม่เพื่อซื้อลูกแก้วมาขายต่อ ซึ่งจากการขายลูกแก้วให้คนกลุ่มเล็กๆนั้นเอง กลับกลายเป็นการขยับขยายและเริ่มขายให้คนกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเมื่อจอร์แดนอายุได้ 6 ขวบ เขาก็ขอให้แม่เปิดเว็บไซต์ให้เขา เพื่อทำเป็นเว็บไซต์ขายลูกแก้วที่สั่งทำมาขายโดยเฉพาะ ดังนั้นเว็บไซต์มาร์เบิ้ลคิง (Marble King) จึงถือกำเนิดขึ้น และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกพอๆกับที่มีลูกค้าสั่งลูกแก้วเข้ามาจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ทุกวันนี้ ฮาร์ลี จอร์แดน กลายเป็นนักธุรกิจตัวน้อยที่ทำให้คนทั่วโลกทึ่งกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไปและรายได้ที่ได้จากการค้าขายนั้น เขานำเงินมาช่วยในรายจ่ายของครอบครัวเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อและแม่ของเขาเอง
โดยในอนาคตเขาฝันไว้ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะมีโรงงานผลิตลูกแก้วหลากสีสัน หลากลวดลายเป็นของตัวเอง และขยับขยายให้เป็นโรงงานใหญ่ ๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่า ความฝันนี้ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยสักนิด
4.เคน มอนรอย
เคน มอนรอย เด็กชายวัย 9 ขวบ จากลอสแองเจลิส เขาสร้างสรรค์ธุรกิจของตัวเองขึ้นมาด้วยมันสมองและสองมือของเขาเอง จากการที่หนูน้อยเคนมีหัวการค้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงมักคิดหาวิธีสร้างรายได้เข้ากระเป๋าเป็นประจำซึ่งเลียบแบบมาจากพ่อของเขา ที่เป็นเจ้าของกิจการขายอะไหล่รถเก่าอยู่ที่บ้านนั่นเอง
เคนใช้เวลาว่างช่วงวันเสาร์ และอาทิตย์ หยิบจับเอาของเก่า และลังกระดาษเปล่าเหลือใช้ในโกดังของพ่อมาสร้างอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเองที่หน้าบ้าน โดยเปิดเป็นร้านเกมแฮนด์เมดที่ชื่อว่า ‘Caine’s Arcade’
โดยภายในร้านเกมจะมีเศษกระดาษลังหลายต่อหลายขนาด เอามาติดด้วยเทปกาว ผสมผสานกับของใช้และของเล่นเก่าเท่าที่หาได้ มาประกอบเป็นเกมแบบง่ายๆ ที่สามารถเล่นได้จริง ซึ่งเคนได้จำลองโมเดลของเกมต่างๆ และแนวทางการบริหารร้านมาจากร้านเกมตู้ที่เขาชอบไปเล่น เช่น เกมโยนห่วงบาสเกตบอล เกมฟุตบอล เกมคีบตุ๊กตา และอื่นๆอีกมากมาย
สำหรับคนที่ต้องการเข้ามาเล่นเกมนั้น เคนได้จัดทำระบบการออกตั๋ว-เสียบตั๋วด้วยระบบมือ โดยเคนจะมุดเข้าไปใต้กล่องแล้วจัดการอยู่ข้างใน โดยค่าตั๋วสำหรับเล่นปกติจะคิด 1 ดอลลาร์ต่อการเล่น 4 ครั้ง โดยจะเล่นเกมส์อะไรก็ได้ หรือจะซื้อตั๋ว ‘Fun Pass’ แบบจ่าย 2 ดอลลาร์เล่นได้ 500 ครั้งก็ได้
ซึ่งเขาจะเปิดกิจการในทุกวันที่ว่างเว้นหลังจากการไปเรียนหนังสือ นั่งเฝ้าร้าน คอยเรียกลูกค้า เป็นเช่นนี้ประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง เคนก็พบกับลูกค้าคนแรกของเขา นั่นคือเนอร์แวน มัลลิค นักสร้างภาพยนต์ ผู้ตั้งใจมาซื้อของที่ร้านของพ่อเคน ทันทีที่เขาได้เข้าไปในอาณาจักร Caine’s Arcade และได้พูดคุยกับเคน มัลลิครู้สึกประทับใจในความคิดสร้างสรรค์ ความเชื่อมั่น ความตั้งใจจริง และความฉลาดในการทำธุรกิจของเด็กชายอย่างมาก จนอยากทำอะไรสักอย่าง
ในเวลาต่อมา มัลลิคใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Facebook เล่าเรื่องราวของเคน พร้อมนัดหมายฝูงชนจำนวนหนึ่งไปเซอร์ไพรส์ที่ร้าน และถ่ายวิดีโอไว้ และได้กลายเป็นหนังสั้นที่ถูกบอกต่ออย่างแพร่หลายในอินเตอร์เน็ตจนทะลุล้านวิว และมัลลิคยังได้สร้างเว็บไซต์ cainesarcade.com เพื่อระดมเงินจากผู้สนใจตั้งเป็นกองทุนการศึกษาต่อให้กับเคน เนื่องจากฐานะทางบ้านเของเคนไม่สู้ดีอีกด้วย
5.โมซิอาห์ บริดจส์
โมซิอาห์ บริดจส์ วัย 9 ขวบ อาศัยอยู่ในเมืองเมมฟิศ สหรัฐอเมริกา เขาได้สร้างธุรกิจซึ่งทำรายได้นับล้าน จากความหลงใหลในแฟชั่นหูกระต่ายของเขาเอง จนทำให้เขากลายเจ้าของแบรนด์เนคไทชื่อดังอย่าง “Mo’s Bows”
ซึ่งแรงบันดาลใจของเขามาจากการที่เขาชอบดูการแต่งตัวในชุดสูทของคุณพ่อกับคุณตา เพราะเขาคิดว่าการใส่สูทนั้นมันช่างดูเท่ห์ซะเหลือเกิน แต่บางครั้งเขารู้สึกว่ามันยังขาดอะไรบางอย่าง ก็เลยตัดสินใจนำหูกระต่ายมาประดับเพิ่มลงไป ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นจุดที่ทำให้เขาเกิดความหลงไหล และเริ่มซื้อหูกระต่ายเก็บสะสมเอาไว้ตลอด
แต่หูกระต่ายที่เขาซื้อมานั้น เขามักไม่พึงพอใจในลวดลายของมัน เขาจึงมีความคิดที่จะสร้างมันขึ้นมาเอง โดยบริดจส์ได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณแม่และคุณยาย เพื่อให้พวกเธอช่วยแก้ไขและทำหูกระต่ายเหล่านั้นให้ดูดียิ่งขึ้น ซึ่งเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากคุณยายเป็นอย่างดี อีกทั้งยังยายของเขายังซื้อจักรเย็บผ้าเป็นของขวัญให้เขาด้วย เขาจึงจะลงมือทำหูกระต่ายด้วยตัวเอง จนกลายมาเป็นุรกิจที่ทำกำไรให้เขาได้ถึง 150,000 ดอลลาห์สหรัฐ หรือประมาณ 4.6 ล้านบาทเลยทีเดียว
โดยปัจจุบันเขาก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่า จะไปศึกษาต่อที่ Parsons School of Design ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนการออกแบบเสื้อผ้า เพื่อมาสานต่อธุรกิจและสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองในวัย 20 ปี ตามที่ตั้งใจเอาไว้ พร้อมกับการออกแบบเนคไทในรูปแบบอื่น ๆ อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าเด็กน้อยเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความคิดที่ชาญฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวที่เป็นผู้ส่งเสริม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจและผู้ผลักดันเด็กๆเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม
MThai News