ประเด็นน่าสนใจ
- กระทรวงสาธารณสุข เผย เริ่มสิทธิ UCEP Plus สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 วันที่ 16 มีนาคมนี้
- หลัง ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์เบิกจ่าย ผู้ป่วยสีเหลืองสีแดงตามเกณฑ์ที่สพฉ.กำหนด เข้ารักษาได้ทุกที่
- ส่วนสีเขียวรักษาฟรีที่สถานพยาบาลในเครือข่ายสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม
วานนี้ (9 มี.ค.65) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พร้อมด้วย ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) แถลงข่าวประเด็น UCEP Plus และการเข้ารับบริการตามสิทธิ
นพ.ธเรศ กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีผู้ป่วยโควิด 19 หรือ UCEP Plus แล้ว ซึ่งจะเริ่มวันที่ 16 มีนาคม 2565 โดยผู้ติดเชื้ออาการสีเหลืองและสีแดง สามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ทุกแห่งจนหายป่วย ไม่จำกัดแค่ 72 ชั่วโมงเหมือน UCEP ปกติ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และหากอาการรุนแรงขึ้นจำเป็นต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นในเครือข่ายจะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากผู้ป่วยหรือญาติประสงค์จะไปรักษาที่โรงพยาบาลนอกเครือข่าย จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ส่วนผู้ป่วยอาการสีเขียวจะให้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีแดง สามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นโดยใช้สิทธิ UCEP Plus ได้เช่นกัน
การประเมินคัดแยกผู้ป่วย
การประเมินคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีโรคโควิด 19 (UCEP Plus) โดยต้องมีผลตรวจ ATK หรือ RT-PCR เป็นบวก ร่วมกับมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
- 1.ภาวะหัวใจหยุดเต้น มีสิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ หายใจลำบากเฉียบพลัน มีภาวะช็อก มีภาวะโคม่า ซึมลง(เมื่อเทียบกับระดับความรู้สึกเดิม) หรือกำลังชักเมื่อแรกรับที่จุดคัดแยก
- 2.มีอาการไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส มากกว่า 24 ชั่วโมง หรือหายใจเร็วมากกว่า 25 ครั้งต่อนาทีในผู้ใหญ่ หรือออกซิเจนในเลือดเมื่อแรกรับน้อยกว่า 94% หรือมีระดับออกซิเจนลดต่ำลงกว่าภาวะปกติ 3% เมื่อออกแรง หรือโรคประจำตัวเปลี่ยนแปลงรุนแรง หรือจำเป็นต้องรับการติดตามใกล้ชิดตามดุลยพินิจของแพทย์ หรือในเด็กมีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนมหรือกินอาหารน้อยลง หรือผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงตามดุลยพินิจของแพทย์
- 3.มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย คือเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว มีปัจจัยเสี่ยงอาการรุนแรงหรือโรคร่วม เช่น อายุมากกว่า 60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ ไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่คุมไม่ได้ ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัม หญิงตั้งครรภ์ ตับแข็ง ภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวน้อยกว่า 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร หรืออื่น ๆ ตามดุลยพินิจของผู้คัดแยกโดยการใช้สิทธิ
สามารถโทรแจ้ง 1669 โรงพยาบาลจะประเมินอาการและรักษาเบื้องต้น และกรอกรายละเอียดอาการผ่านโปรแกรม PA ของ สพฉ. หากเข้าเกณฑ์ UCEP Plus จะสามารถใช้สิทธิได้ทันที ทั้งนี้ สพฉ.ได้เตรียมศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต หมายเลข 02-872-1669 เพื่อให้คำปรึกษากรณีมีข้อสงสัยหรือมีปัญหาในการใช้สิทธิ รวมถึงสถานพยาบาลเอกชนกว่า 300 แห่ง ก็ใช้ในการประสานงานกรณีมีข้อติดขัดการลงข้อมูลผ่านระบบเช่นกัน
การใช้สิทธิ UCEP Plus
ผู้ติดเชื้อสิทธิบัตรทองกลุ่มอาการสีเหลืองหรือสีแดงยังเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลใดก็ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นค่าห้องพิเศษหรืออาหารพิเศษนอกเหนือสิทธิประโยชน์ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวไปรับบริการสถานพยาบาลปฐมภูมิในระบบบัตรทองได้ทุกที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือแดง สามารถส่งต่อไปโรงพยาบาลเอกชนเพื่อรับการรักษาจนหายได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นกัน
สำหรับผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิดกลุ่มสีเขียว สามารถเข้าโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคมได้ทุกแห่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนสิ้นสุดการรักษา ส่วนกรณีกลุ่มสีเหลืองหรือสีแดง สามารถเข้าโรงพยาบาลได้ทั้งรัฐและเอกชน โดยประกันสังคมจะเข้าไปร่วมจ่ายทั้งหมด หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วน 1506 กด 1 หรือกรณีไปรับบริการแล้วสถานพยาบาลมีข้อขัดข้องให้กด 6 หรือ กด 7
ในส่วนของปัญหาสายด่วน 1330 ได้ขยายคู่สายเพิ่มเป็น 3,200 คู่สาย มีสายโทรเข้าลดลงเหลือ 44,447 สาย สายหลุดหรือไม่ได้รับสาย ลดลงจาก 37% เหลือ 13% ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ สปสช. หรือไลน์ @nhso จะจับคู่กับหน่วยบริการที่ให้บริการได้รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากปริมาณผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก ทำให้การติดต่อกลับของหน่วยบริการอาจล่าช้ากว่าเดิมบ้าง แต่จากการเพิ่มบริการแบบผู้ป่วยนอกทำให้ปริมาณสายโทรเข้าลดลงส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ตกค้างในระบบที่ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับประมาณ 6-7 พันราย ภายในสัปดาห์นี้จะเร่งรัดติดต่อกลับให้หมดทุกรายและส่งยาให้ตามความจำเป็น