พรรคก้าวไกล อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

‘อมรัตน์’ ส.ส.ก้าวไกล อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา

‘อมรัตน์’ ส.ส.ก้าวไกล อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา ยืนยันจุดยืนปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของเยาวชนและประชาชน

Home / NEWS / ‘อมรัตน์’ ส.ส.ก้าวไกล อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา

ประเด็นน่าสนใจ

  • ‘อมรัตน์’ ส.ส.ก้าวไกล อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา ยืนยันจุดยืนปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของเยาวชนและประชาชน
  • ระบุคุกควรเป็นที่ของคนที่ปล้นอำนาจประชาธิปไตย ไม่ใช่ของผู้ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
  • ย้ำ เยาวชนผู้กล้าหาญเหล่านั้นคือนักต่อสู้ไม่ใช่นักโทษ คือเจ้าของอนาคตประเทศนี้

วันนี้( 26 ต.ค. 64 ) ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต 3 พรรคก้าวไกล และ สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกันอ่านจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ ปิยกุล บุญเพิ่ม’ ประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องต่อจุดยืนในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมืองของเยาวชนและประชาชน

โดยอมรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล เหตุที่ออกมาจึงแสดงจุดยืนต่อสาธารณะ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวของสื่อมวลชนตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.63 ว่า ” ยินดีใช้ตำแหน่งผู้แทนราษฎรไปประกันตัว หากเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่ถูกรองรับไว้โดยรัฐธรรมนูญถูกพรากไปด้วยข้ออ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”

พร้อมโชว์ใบรับรองเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะว่า หลายปีที่ผ่านมานับจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนี้ที่สืบทอดอำนาจในปัจจุบันซึ่งยาวนานใกล้เข้าปีที่ 8 แล้ว ประเทศถูกปกครอง ครอบงำด้วยความกลัว ผู้ที่รักประชาธิปไตย ให้คุณค่ากับหลักการสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ตกอยู่ในความมืดมิดแห่งรัตติกาลอันยาวนานไม่เห็นแสงสว่าง ถูกปิดกั้นเสรีภาพในการคิด การพูด การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดในประเทศประชาธิปไตย

เมื่อสิ้นสุดความอดทน เยาวชนหนุ่มสาวและประชาชนออกมาทวงคืนประชาธิปไตย ไล่นายกที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร เรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ยกเลิกอำนาจ ส.ว.( สมาชิกวุฒิสภา ) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับยุคสมัย

“แต่ไม่ว่าจะออกมาส่งเสียงมากมายแค่ไหน ข้อเรียกร้องของพวกเขาถูกตั้งใจละเลยไม่ถูกได้ยิน สิ่งที่ได้รับคือการลุแก่อำนาจปราศจากมนุษยธรรม ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้งบประมาณมากมายปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่งราวกับพวกเขาเป็นอริราชศัตรูเพียงแค่พวกเขาคิดต่างจากผู้ทรงอำนาจบาตรใหญ่ แจกคดีความถ้วนหน้าออกหมายเรียก หมายจับ ใช้กฎหมายปิดปาก จงใจใช้และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยข้ออ้างเรื่อง covid-19 อย่างปราศจากความละอายต่อสายตาชาวโลก”

อมรัตน์ ย้ำว่า สำหรับตนแล้วเยาวชนผู้กล้าหาญเหล่านั้นคือนักต่อสู้ไม่ใช่นักโทษ คือเจ้าของอนาคตประเทศนี้ พวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความกลัวที่คนยุคตนไม่เคยเข้าข้ามพ้นเส้นนั้นมาได้ บัดนี้มีผู้ต้องหาคดี 112, 116, 215, พ.ร.บ.คอมพ์, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากมายถึง 1,500 คน จาก 800 กว่าคดี โดยเฉพาะคดี 112 มีถึง 150 คน และส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

“เราต้องยอมรับกันเสียทีว่า คดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมือง จะต้องถูกแก้ไขด้วยวิถีทางการเมือง แทนใช้คุก ศาล ทหาร และใช้กฎหมายปิดปาก รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นประเด็นที่ประเทศไทยถูกองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์ นับจากปี 54 ถึงปี 64 ถูกวิจารณ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 22 ครั้ง ถูกเสนอแนะให้แก้ไขในเรื่องอัตราโทษที่สูงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและไม่มีโทษขั้นต่ำ ไม่มีคำนิยามที่แน่นอนของคำว่าดูหมิ่น และกฎหมายนี้มีปัญหาการบังคับใช้ที่ถูกตีความอย่างไร้ขอบเขต รวมไปถึงไม่สอดคล้องกับหลักการสากลในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” อมรัตน์ กล่าว

อมรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ที่รัฐข้ออ้างในการไม่ให้ประกันตัวโดยอ้างว่า มีอัตราโทษสูงและอาจก่อให้เกิดอันตรายความเสียหายต่อความมั่นคง หรือน่าเชื่อว่าจะหลบหนีไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง แม้แต่ถึงฆ่าคนตายก็ยังได้สิทธิในการประกันตัวออกมาต่อสู้คดี เพราะพวกเขายังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ตามกฎหมาย

ดังนั้น ต้องหยุดความตกต่ำของกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ให้ต้องถูกทำลายลงเพียงเพื่อจะได้ดำเนินคดี 112 หรือเพียงเพื่อต่ออายุให้รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม ทั้งนี้ ในฐานะผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพที่จะคิด ที่จะพูด และสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองให้กับพวกเขา

โดยขณะนี้ยังมีผู้ถูกจองจำอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น อานนท์ นำภา ,พริษฐ์ ชิวารักษ์, ภาณุพงษ์ จาดนอก, ไผ่ ดาวดิน และเบนจา อะปัญ ขอเรียกร้องให้คืนสิทธิประกันตัวให้พวกเขา เพื่อคลี่คลายปัญหาวิกฤติศรัทธาต่อองค์กรตุลาการในขณะนี้ และตนขอเรียกร้องให้ประธานศาลฎีกาฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรมให้กลับมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง

” คุกควรเป็นที่ของคนที่ปล้นอำนาจประชาธิปไตย ไม่ใช่ของผู้ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ” อมรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่อ่านเเถลงการณ์เสร็จ อมรัตน์ จะยื่นขอประกันตัวผู้ต้องหาที่ยังถูกคุมขังอีกครั้ง เพื่อเป็นการเรียกร้องต่อประธานศาลฎีกาให้พิจารณาและไตร่ตรองในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมให้กลับมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน

ภาพ : วิชาญ โพธิ