‘วัฒนา’ เผย ‘ปารีณา’ ขอเลื่อนไต่สวนกรณีวิจารณ์คดีบ้านเอื้ออาทร

ประเด็นน่าสนใจ

วันนี้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร นัดไต่สวนคำร้องที่ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พม. จำเลยที่ 1 คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ได้ขอให้ศาลเรียก น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ผู้ถูกร้อง มาสอบถามและวินิจฉัยกรณีที่นายวัฒนาอ้างว่าน.ส.ปารีณา น่าจะกระทำการที่ขัดต่อคำสั่งศาลเกี่ยวกับข้อกำหนดที่วางไว้ในคดีบ้านเอื้ออาทร จากกรณีที่มีการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ น.ส.ปารีณา เมื่อเดือน ส.ค.62 ที่ผ่านมา พาดพิงนายวัฒนา และการเบิกความในคดีบ้านเอื้ออาทร

ทั้งนี้ นายวัฒนา ผู้ร้อง เดินทางมาศาลพร้อมทีมทนายความ ขณะที่ น.ส.ปารีณา ผู้ถูกร้อง เดินทางมาโดยมีนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความที่เพิ่งแต่งตั้งเข้ามา โดย น.ส.ปารีณา ได้แถลงขอศาลเลื่อนนัดไต่สวนออกไปก่อน เนื่องจากเพิ่งได้พบกับทนายความในวันนี้ ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้ว ได้นัดไต่สวนคู่ความทั้งสองอีกครั้งในวันที่ 13 ม.ค.63 ตั้งแต่เวลา 09.30 น. 

โดย นายวัฒนา กล่าวว่า นางสาวปารีณา เปลี่ยนคำให้การใหม่ จากที่เคยยอมรับว่าโพสต์ครั้งแรกถึงนายกฯ เท่านั้น แต่ไม่ได้โพสต์หมิ่นนายวัฒนาในครั้งที่ 2 เป็นปฏิเสธไม่ได้โพสต์เองทั้งสองครั้ง ตนจึงจำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ให้ได้ว่า คุณปารีณาเป็นคนโพสต์ แม้จะปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว ความจริงศาลพยายามไกล่เกลี่ย ถ้านางสาวปารีณายอมรับว่าทำแล้วขอโทษก็จบ แต่อ้างว่าไม่ได้ทำเลยไม่รู้ตนจะคุยอะไรกัน ต้องนับหนึ่งกันใหม่

ความจริงศาลไม่ให้ละเมิดเพราะมีผลต่อการพิจารณาคดี แต่จะให้นางสาวปารีณาโพสต์หมิ่นตนเองฝ่ายเดียว โดยห้ามตนเองไม่ให้พูดคงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งศาลได้กำหนดนัดฟังคำสั่งไว้ล่วงหน้าในวันที่ 24 ก.พ.63 สำหรับการนำสืบนั้น นอกจากตนก็จะมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการพิสูจน์ตำแหน่งการโพสต์ (URL) ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้แม้จะมีการลบทิ้งไปแล้ว นายวัฒนา กล่าว.
 
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณาในศาล นายสมชาติ ทนายความของน.ส.ปารีณา ได้เดินมาแจ้งกับสื่อมวลชน ที่รอบันทึกภาพและสัมภาษณ์อยู่ด้านนอกศาลว่า น.ส.ปารีณา ได้เดินทางกลับไปแล้ว โดยยังขอไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ 

สำหรับคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรนั้น ก่อนหน้านี้ ระหว่างการไต่สวนพยานโจทก์ ศาลได้ออกข้อกำหนดเมื่อวันที่ 15 ก.ค.62 ว่า หลังจากที่มีการรายงานเกี่ยวกับคดีจนอาจกระทบการพิจารณาได้ องค์คณะฯ จึงได้ออกข้อกำหนดระหว่างการพิจารณา ห้ามไม่ให้ผู้ใดกระทำการ 1.ให้ข่าว , รายงาน หรือย่อเรื่องกระบวนพิจารณาคดีอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้อง 2.ทำการวิภาค (ภาษาตามกฎหมาย) โดยไม่เป็นธรรมในการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน

รวมทั้งการแถลงข้อความที่เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของคู่ความ , พยาน และ 3.ชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ โดยการกระทำนั้นประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาล , คู่ความ , พยานหลักฐาน ที่จะมีผลทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป โดยการออกข้อกำหนดดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.แพ่ง) มาตรา 30, 32 , 33