พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เรือ

ประวัติเรือในขบวน “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2562”

พลเรือเอก ลือชัย  รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงแม่ย่านางเรือพระราชพิธี ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ณ อู่หมายเลข 1 อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ…

Home / NEWS / ประวัติเรือในขบวน “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2562”

ประเด็นน่าสนใจ

  • 12 ธ.ค. 62 มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
  • ช่วงเช้ากองทัพเรือ จัดพิธีบวงสรวงแม่ย่านางเรือพระราชพิธี
  • เรือพระราชพิธีทั้ง 52 ลำ ที่จะเข้าร่วมในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พลเรือเอก ลือชัย  รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงแม่ย่านางเรือพระราชพิธี ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ณ อู่หมายเลข 1 อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นราชประเพณีคู่สังคมไทยมายาวนานโดยได้รับอิทธิพลจากคติอินเดีย แต่ลักษณะการพระราชพิธีแต่เดิมมีแบบแผนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แม้แต่การเรียกชื่อพิธีก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัย

เช่น สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกว่า 

“พระราชพิธีราชาภิเษก” หรือ “พิธีราชาภิเษก”

ส่วนในปัจจุบันเรียกว่า “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก”

พิธีบวงสรวง – เซ่นไหว้แม่ย่านางเรือ

การบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ ถือเป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดกันต่อมา เป็นพิธีกรรมในการยอมรับนับถือ และให้การคารวะบูชาต่อพระภูมิเจ้าที่ที่ปกปักรักษา ดูแล คุ้มครอง ป้องกันสถานที่นั้น ๆ พิธีกรรมเป็นการสวดอาราธนาบารมีพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพและเทพพรหมเทวา รวมถึงท้าวจตุมหาราชผู้เป็นใหญ่ในทิศทั่วทั้ง 4 ลงมาประทับ ณ สถานประกอบพิธีนั้น ๆ

พิธีเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือ เป็นพิธีที่ชาวเรือมีความเชื่อกันมาแต่โบราณ ว่า เรือทุกลำ มีแม่ย่านางเรือสิงห์สถิตอยู่ คอยปกปักรักษา คุ้มครองป้องกันอันตรายทั้งปวงที่จะเกิดแก่เรือ ก่อนออกเรือทุกครั้ง หรือการนำเรือไปใช้งาน

จึงมักกระทำพิธีเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือ หรือบูชาแม่ย่านางเรือก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นขวัญกำลังใจ แก่กำลังพลประจำเรือถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันต่อเนื่องมา

สำหรับในช่วงบ่ายวันที่ 12 ธ.ค.2562 เป็นการจัดขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

กองทัพเรือ โดยคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ได้จัดเรือพระราชพิธีทั้งสิ้น 52 ลำ รวมถึงเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ประกอบด้วย

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช

เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9

เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์

ในเวลา 15.00 น.

เรือพระราชพิธี ทั้ง 52 ลำ เริ่มตั้งขบวนเรือโดยหัวขบวนของเรือพระราชพิธีอยู่บริเวณธนาคารแห่งประเทศไทยและท้ายขบวนอยู่บริเวณโรงแรมริเวอร์ไซด์ก่อนถึงสะพานกรุงธน

จากนั้นในเวลา 15.35 น. ขบวนเรือเคลื่อนออกจากจุดตั้งขบวนมุ่งหน้าไปทาง พระบรมมหาราชวัง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเคลื่อนขบวนจากจุดเริ่มต้นถึงที่หมายประมาณ 40 นาที การจัดรูปขบวนเรือ แบ่งออกเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ดังนี้

  • ริ้วสายกลาง ซึ่งเป็นเรือสายสำคัญ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่ง 4 ลำ มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ นอกจากนี้มีเรืออีเหลือง เรือกลองนอก เรือแตงโม ซึ่งเป็นเรือของผู้บัญชาการขบวนเรือ เรือกลองใน พร้อมด้วยเรือตำรวจนอก และเรือตำรวจใน
  • ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือประตูหน้าเรือเสือทยานชล และเรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์ 8 ลำ และปิดท้ายสายในด้วยเรือเอกไชยเหินหาว และเรือเอกไชยหลาวทอง ซึ่งเป็นเรือคู่ชัก
  • ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้ง และเรือแซง สายละ 14 ลำ รวมทั้งสิ้น 52 ลำ

ทั้งนี้เรือพระราชพิธีทั้ง 52 ลำ ที่จะเข้าร่วมในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ประกอบด้วย

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ เป็นเรือพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ต่อขึ้นใหม่เพราะเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ลำเดิมผุพังเกินที่จะซ่อมได้

แต่มาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำเมื่อ 13 พ.ย. พ.ศ.2454 โขนหัวเรือจำหลักเป็นรูปหงส์ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่จามรีห้อยปลายพู่เป็นแก้วผลึก

ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือภายในทาสีแดง ตอนกลางลำเรือทอดบัลลังก์กัญญาหรือบุษบกสำหรับเป็นที่ประทับเรือมีความยาว 44.90 เมตร กว้าง 3.17 เมตร ลึก 0.94 เมตร ใช้กำลังพลรวม จำนวน 71 นาย

แยกเป็นกำลังพลประจำเรือ 64 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 50 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นายคนขานยาว 1 นาย คนถือฉัตร 7 นาย และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จำนวน 7 นาย

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. พ.ศ.2535 องค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร พิจารณามอบรางวัลเรือโลกแก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์โดยคณะกรรมการองค์การ World Ship Trust เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

เหรียญรางวัลมรดกทางทะเลขององค์การเรือโลกประจำพ.ศ.2535 (The World Ship Trust Maritime Heritage Award “Suphannahong Royal Barge”)

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานเหรียญรางวัลดังกล่าวแก่อธิบดีกรมศิลปากร ในฐานะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดูแลรักษาเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์      

เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช

เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนลำปัจจุบันนั้น เป็นเรือสร้างใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โขนเรือปิดทองประดับกระจก เป็นรูปพญาอนันตนาคราช หรือ พญานาค 7 เศียร กลางลำเรือทอดบุษบกใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือผ้ากฐินลำเรือภายนอกทาสีเขียวท้องเรือภายในทาสีแดง

ตัวเรือมีความยาว 44.85 เมตร กว้าง 2.58 เมตร ลึก 0.87 เมตร ใช้กำลังพลรวม จำนวน 72 นาย แยกเป็นกำลังพลประจำเรือ 69 นาย ประกอบด้วยนายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 54 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนถือฉัตร 7 นาย คนขานยาว 1 นาย พนักงานเห่เรือ 1 นาย และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จำนวน 3 นาย

เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9

เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาส พระราชพิธีกาญจนาภิเษก แห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539

โดยกองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากรได้นำโขนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 และ รัชกาลที่ 4 มาเป็นต้นแบบ โดยกองทัพเรือ สร้างในส่วนที่เป็นโครงสร้างเรือ พาย และคัดฉาก

ส่วนกรมศิลปากร ดำเนินการในงานที่เกี่ยวกับศิลปกรรมของเรือทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางกระดูกงูเรือ ณ กรมอู่ทหารเรือ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 ก.ย. พ.ศ.2537 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร(พระราชอิสริยยศขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์

ในพิธีปล่อยเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ลงน้ำเมื่อวันที่ 5 เม.ย. พ.ศ.2539 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เคยเป็นเรือพระที่นั่งทรง เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พ.ศ.2539 โขนเรือจำหลักรูปพระวิษณุประทับยืนบนครุฑ พระวรกายคล้ำ ในพระกรทั้ง 4 ทรงถือ จักร สังข์ คฑา และตรีศูลประทับบนครุฑยุดนาคหรือครุฑที่จับนาค 2 ตัวชูขึ้น ที่หัวเรือเบื้องใต้ครุฑเป็นช่องสำหรับใส่ปืนใหญ่ กลางลำเรือทอดบังลังก์กัญญาและมีแท่นประทับลำเรือภายนอกท้องเรือภายในทาสีแดง

ตัวเรือมีความยาว 44.30 เมตร กว้าง 3.20 เมตร ลึก 1.10 เมตร ใช้กำลังพลรวม จำนวน 71 นาย แยกเป็นกำลังพลประจำเรือ 64 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นายฝีพาย 50 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนถือฉัตร 7 นาย คนขานยาว 1 นาย และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จำนวน 7 นาย

เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์

เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือสร้างใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยใน พ.ศ.2512 ได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ โดยงดการเข้าร่วมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เมื่อ พ.ศ.2510

เนื่องจากอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก และบูรณะซ่อมแซมแล้วเสร็จใน พ.ศ.2515 หัวเรือลงรักปิดทองลายรดน้ำเป็นรูปพญานาคเล็ก ๆ จำนวนมาก ตอนกลางลำเรือทอดบัลลังก์กัญญา ซึ่งเป็นที่ประทับเปลื้องเครื่องหรือเปลื้องพระชฎามหากฐินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อนเสด็จขึ้นหรือลงเรือพระที่นั่งอีกลำ ลำเรือภายนอกทาสีชมพูท้องเรือภายในทาสีแดง ตัวเรือมีความยาว 45.67 เมตร กว้าง 2.91 เมตร ลึก 0.91 เมตร

ใช้กำลังพลรวม 82 นายแยกเป็นกำลังพลประจำเรือจำนวน 75 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 61 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนถือฉัตร 7 นาย คนขานยาว 1 นาย และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง 7 นาย

เรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง

เรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง เรือสองลำนี้เป็นเรือคู่ชัก ทำหน้าที่ลากเรือพระที่นั่งเช่น ชักลากเรือพระที่นั่งเมื่อน้ำเชี่ยวต้องการให้แล่นเร็วขึ้น เรือทั้งสองลำสร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเมื่อพ.ศ.2487 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยาน ที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้ง 2 ลำนี้อย่างมาก และพ.ศ.2491

กรมศิลปากรได้ตัดหัวเรือและท้ายเรือเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ใน พ.ศ.2508 กองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันบูรณะเรือ 2 ลำนี้ใหม่ โดยใช้หัวเรือเดิมมาประกอบ เรือ 2 ลำ มีลักษณะใกล้เคียงกันคือหัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงงอนขึ้นไป ลงรักปิดทองเขียนลายรดน้ำรูปเหรา (สัตว์ในตำนาน ลักษณะคล้ายมังกรแต่มีหัวเป็นงูหรือนาค) อย่างไรก็ตามเรือ 2 ลำนี้มีรูปลักษณ์ของหัวเรือที่ต่างกันอยู่บ้างเป็นที่สังเกตได้ เช่น

สีของดวงตาของเหรา (เรือเอกไชยเหินหาวดวงตาสีทอง กระทงเรือมีแท่นรองฉัตร 7 ต้น ด้วยเคยเป็นเรือพระที่นั่งทรงมาก่อน และเรือเอกไชยหลาวทองดวงตาสีดำ) ตัวเรือมีความยาว 27.50 เมตร ความกว้าง 1.97 เมตร ความลึกถึงท้องเรือ 0.60 เมตร มีกำลังพลลำละ 44 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 2 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 38 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย                                

เรืออสุรวายุภักษ์และเรืออสุรปักษี

เรืออสุรวายุภักษ์และเรืออสุรปักษี เรือทั้ง 2 ลำ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 4 เรืออสุรปักษี ใช้ชื่อว่า อสุรปักษีสมุทร หรือ อสุรปักษา ทั้งนี้เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายเรือพระราชพิธีทั้งสองลำนี้มาก โดยกองทัพเรือร่วมกับ

กรมศิลปากร ได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมใหญ่เรืออสุรปักษี เมื่อ พ.ศ.2508 ส่วนเรืออสุรวายุภักษ์ได้บูรณะซ่อมแซมใหญ่เมื่อ พ.ศ.2514 เรืออสุรวายุภักษ์ โขนเรือเป็นรูปครึ่งยักษ์ครึ่งนกโดยมีองค์สีม่วง ส่วนเรืออสุรปักษี โขนเรือเป็นรูปครึ่งยักษ์ครึ่งนก

โดยมีองค์สีเขียว ความยาว 31 เมตร ความกว้าง 2.03 เมตร ความลึกถึงท้องเรือ 0.62 เมตร มีกำลังพลลำละ 57 นาย ประกอบด้วยนายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 40 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 นาย และคนตีกลองชนะ 10 นาย

เรือกระบี่ราญรอนราพณ์และเรือกระบี่ปราบเมืองมาร ราพณ์เรือทั้ง 2 ลำ สร้างขึ้น ในรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้งสองลำนี้มาก

โดยกรมศิลปากร ได้ดำเนินการตัดหัวโขนเรือและท้ายเรือเก็บรักษา ไว้ในพิพิธภัณฑ์ เมื่อ พ.ศ.2491 และได้บูรณะซ่อมแซมใหญ่เมื่อ พ.ศ.2510 ทำการสร้างใหม่โดยใช้หัวโขนเรือเดิมนำมาซ่อมแซม เรือกระบี่ปราบเมืองมาร โขนเรือเป็นรูปวานร (หนุมาน) ร่างกายสีขาว ส่วนเรือกระบี่ราญรอนราพณ์ โขนเรือเป็นรูปวานร (นิลพัท) ไม่สวมเครื่องประดับหัว ร่างกายสีดำ ความยาว 26.80 เมตร ความกว้าง 2.10 เมตร ความลึกถึงท้องเรือ 0.51 เมตร มีกำลังพลลำละ 53 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 36 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 นาย และคนตีกลองชนะ 10 นาย

เรือพาลีรั้งทวีปและเรือสุครีพครองเมือง

เรือพาลีรั้งทวีปและเรือสุครีพครองเมือง เรือทั้ง 2 ลำ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 แต่ชื่อเรือพาลีรั้งทวีป ใช้ว่าเรือพาลีล้างทวีป เรือพาลีรั้งทวีป โขนเรือเป็นรูปวานร (พาลี) สวมมงกุฎ

โดยมีร่างกายสีเขียว ส่วนสุครีพครองเมือง เป็นรูปวานร (สุครีพ) สวมมงกุฎ โดยมีร่างกายสีแดง ความยาว 27.54 เมตร กว้าง 1.99 เมตรความลึกถึงท้องเรือ 0.59 เมตร มีกำลังพลลำละ 41 นายประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 34 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 นาย

เรือครุฑเหินเห็จและเรือครุฑเตร็จไตรจักร

เรือครุฑเหินเห็จและเรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือทั้ง 2 ลำ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 แต่ชื่อเรือครุฑเหินเห็จ ใช้ชื่อว่า เรือครุฑเหิรระเห็จ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้ง 2 ลำนี้มากโดยกรมศิลปากร ได้ดำเนินการตัดหัวโขนเรือและท้ายเรือเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ เมื่อ พ.ศ.2491 และเมื่อ พ.ศ.2511 ทำการสร้างใหม่

โดยใช้หัวโขนเรือเดิมนำมาซ่อมแซม เรือทั้งสองลำ โขนเรือเป็นรูปครุฑจับนาค 2 ตัว ชูขึ้น เรือครุฑเหินเห็จกายสีแดง ส่วนเรือครุฑเตร็จไตรจักรกายสีชมพู ความยาว 28.58 เมตร กว้าง 2.10 เมตร ความลึกถึงท้องเรือ 0.56 เมตร มีกำลังพลลำละ 41 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 34 นาย คนถือธงท้าย 1 นาย พลสัญญาณ 1 นาย คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 นาย

เรือเสือทยานชลและเรือเสือคำรณสินธุ์

เรือเสือทยานชลและเรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือประเภทเรือพิฆาต มีหน้าที่สำหรับทำการรบโดยเฉพาะไม่พบหลักฐานในการสร้างและจำนวนที่สร้างที่ชัดเจนแต่ปรากฏชื่อเรือทั้ง 2 ลำ ในลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและทางชลมารคใน พ.ศ.2387 ต่อมารัชกาลที่ 6 เหลือเพียง 1 คู่

คือเรือเสือทยานชลและเรือเสือคำรณสินธ์ โดยเรือทั้ง 2 ลำ ได้บูรณะซ่อมแซมใหญ่เมื่อ พ.ศ.2524 เช่น เปลี่ยนไม้ตัวเรือที่ผุชำรุดบางส่วน ตกแต่งลวดลาย ทาสีตัวเรือ เป็นต้น

ตัวเรือวาดลงสีรูปเสือไว้ที่หัวเรือ ซึ่งมีช่องที่มีปืนใหญ่ยื่นออกมาภายในท้องเรือทาสีแดง ตัวเรือมีความยาว 22.23 เมตร กว้าง 1.75 เมตร ความลึกท้องเรือ 0.70 เมตร มีกำลังพล ลำละ 34 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นายฝีพาย 26 นาย พลสัญญาณ 1 นาย และคนนั่งประจำคฤห์ 3 นาย

เรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่น

เรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่น ทำหน้าที่เป็นเรือประตูหน้า หรือเรือสำหรับนำหน้าขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ลำเดิมไม่พบหลักฐานในการสร้าง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกลูกระเบิด ตัวเรือได้รับความเสียหาย

กรมศิลปากรได้ตัดหัวเรือและท้ายเรือเดิมและได้สร้างตัวเรือขึ้นใหม่ เรือทั้งสองลำมีลักษณะเป็นเรือดั้งทาน้ำมันยอดดั้งปิดทอง หัวเรือแกะสลักลวดลาย ท้ายเรือลงรักปิดทองประดับกระจก ตัวเรือความยาว 32.08 เมตร กว้าง 1.88 เมตร ลึก 64 เซนติเมตร

ใช้กำลังพลลำละ 43 คน ประกอบด้วย นายเรือ 1 คนนายท้าย 2 คน ฝีพาย 39 คน และคนให้สัญญาณ 1 คน มีปลัดกระทรวงกลาโหม นั่งในกัญญาเรือทองขวานฟ้าและปลัดกระทรวงมหาดไทย นั่งในกัญญาเรือทองบ้าบิ่น

เรือดั้ง

เรือดั้ง ทำหน้าที่เป็นเรือป้องกันขบวนเรือ ไม่พบประวัติการสร้าง คำว่า “ดั้ง” แปลว่า “หน้า” ดังนั้นเรือดั้งจึงหมายถึงเรือหน้า คำว่าเรือดั้ง พบครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เรือดั้ง มีจำนวนทั้งสิ้น 22 ลำ โดยเรือดั้ง 1 – 20 ทาสีน้ำมันเป็นสีดำ ส่วนเรือดั้ง 21 – 22 เป็นสีทอง โดยเรือดั้ง 22 ลำ ไม่มีลวดลาย ส่วนหัวตั้งสูงงอน

ทั้งนี้เรือดั้งแต่ละลำจะมีความยาวของเรือไม่เท่ากัน แต่จะมีความยาวอยู่ระหว่าง 23.6 – 27.3 เมตร ความกว้าง 1.5 – 1.7 เมตร ในขณะที่กำลังพลประจำเรือประกอบด้วย นายเรือ 1 นายนายท้าย 2 นาย พลสัญญาณ 1 นาย เส้า 2 นาย ประจำคฤห์ 5 นาย (นายทหาร 1 นาย พลทหาร 4 นาย) เหมือนกันทุกลำ

แต่สำหรับฝีพายจะมีจำนวนแตกต่างกัน เนื่องจากความยาวของเรือไม่เท่ากัน โดยเรือดั้ง 1 มีฝีพาย 32 นาย เรือดั้ง 2 – 4 มีฝีพาย 30 นาย เรือดั้ง 5 – 11 มีฝีพาย 28 นาย เรือดั้ง 12 – 22 มีฝีพาย 16 นาย

เรือตำรวจ

เรือตำรวจ ที่มีหน้าที่เป็นองครักษ์มีพระตำรวจหลวงชั้นปลัดกรมนั่งคฤห์ มีจำนวน 3 ลำ ไม่พบประวัติการสร้าง รูปร่างและขนาดของเรือทาน้ำมันสีดำเกลี้ยงตลอดทั้งลำเรือ ความยาว 20.97 เมตร ความกว้าง 1.41 เมตร ความลึกท้องเรือ 0.47 เมตร กำลังพลประจำเรือ ลำละ 28 นาย ประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย ฝีพาย 24 นาย พลสัญญาณ 1 นาย

เรือแซง

เรือแซง เรือที่ทำหน้าที่อารักขาพระมหากษัตริย์เหมือนกับทหารมหาดเล็ก สามารถแซงเรือ ในขบวนมาอารักขาพระมหากษัตริย์ได้ มีจำนวน 7 ลำ ไม่พบหลักฐานที่สร้าง แต่มีบันทึกไว้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้จัดเรือแซง จำนวน 4 ลำ ไว้ท้ายขบวน และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เพิ่มสำหรับพระตำรวจอีก 2 ลำ

โดยใน 4 ลำแรกใช้ทหาร จึงเรียกว่า “เรือแซงทหาร” ส่วนอีก 2 ลำนั้น เรียก “เรือแซง” ต่อมาในรัชกาลที่ 7 ได้ตัดเรือแซงของพระตำรวจออกไปและเรือแซงทหารได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือแซงจนถึงปัจจุบัน รูปร่างและขนาดเรือ

ลักษณะหัวเรือเชิดขึ้นเหนือแนวน้ำทาสีดำ แต่ละลำมีขนาดไม่เท่ากัน โดยเรือแซง 1 – 6 มีความยาวเท่ากันคือ 23.2 เมตร แต่จะมีความกว้าง ไม่เท่ากันแต่อยู่ระหว่าง 1.40 – 1.62 เมตร ส่วนเรือแซง 7 มีความยาว 24.7 เมตร กว้าง 1.5 เมตร

กำลังพล ประจำเรือ ประกอบด้วย นายเรือ 1 นาย นายท้าย 2 นาย พลสัญญาน 1 นาย เหมือนกันทุกลำ ยกเว้นฝีพายเรือ 1 – 6 มีฝีพาย 24 นาย ส่วนเรือแซง 7 มีฝีพาย 30 นาย โดยเรือดั้ง 1 มีฝีพาย 32 นาย เรือดั้ง 2 – 4 มีฝีพาย 30 นาย เรือดั้ง 5 – 11 มีฝีพาย 28 นาย เรือดั้ง 12 – 22 มีฝีพาย 26 นาย