ประเด็นน่าสนใจ
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะที่ 1
- เผย อาสาสมัครมีระดับภูมิคุ้มกันต่อโรค covid-19 ในระดับดี
- สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด ที-เซลล์ ซึ่งช่วยกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสที่อยู่ในเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้
- อาการในกลุ่มอาสาสมัครหลังฉีดวัคซีนครบ 7 วันพบว่ามีอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง อาทิ ปวดบริเวณที่ฉีด เพลีย มีไข้ หนาว สั่น และหายได้เองภายใน 1 ถึง 3 วัน
วันนี้ (28 ส.ค.64) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะที่ 1 โดยวัคซีน ChulaCov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA สัญชาติไทย เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างโปรตีนส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น ทำให้ร่างกายรู้จักและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโควิค ซึ่งสาร mRNA ที่อยู่ในวัคซีนจะถูกทำให้สลายไปภายในไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สะสมในร่างกาย
ผลการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะที่ 1
1.อาสาสมัครมีระดับภูมิคุ้มกันต่อโรค covid-19 ดีกระตุ้นแอนติบอดี้ได้สูงมากรวมถึงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด ที-เซลล์ ซึ่งช่วยกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสที่อยู่ในเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้
2.วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) และป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ทั้ง 4 สายพันธุ์ได้แก่ แอลฟา (อังกฤษ) , เบตา (แอฟริกา) , แกมมา (บราซิล) , และเดลตา (อินเดีย)
3.จากการติดตามอาการในกลุ่มอาสาสมัครหลังฉีดวัคซีนครบ 7 วันพบว่ามีอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนใหญ่เกิดอาการขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด เพลีย มีไข้ หนาว สั่น และหายได้เองภายใน 1 ถึง 3 วัน
จุดเด่นของวัคซีน ChulaCov19
1.สามารถจัดเก็บในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ได้นาน 3 เดือน และจัดเก็บในอุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้เก็บรักษาได้ง่ายมากกว่าวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น
2.ผลการทดสอบในหนูทดลองผ่านเกณฑ์ดีมาก สามารถป้องกันอาการป่วยและยับยั้งไม่ให้ติดเชื้อโควิค 19 เข้าสู่กระแสเลือด ลดจำนวนเชื้อไวรัสในจมูกและปอด รวมทั้งมีความปลอดภัยจากการทดสอบความเป็นพิษ
3.สามารถผลิตได้เร็วเนื่องจากวัคซีนชนิด mRNA ไม่จำเป็นต้องท้อเลี้ยงเชื้อเพียงทราบสายพันธุ์และเชื้อ ก็สามารถผลิตวัคซีนได้ ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ หากเกิดเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคตจะสามารถสังเคราะห์วัคซีนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามการทดสอบวัคซีนระยะต่อไปจะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2 ในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 150-300 คนโดยจะเริ่มก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 และทำการทดสอบเพิ่มเติมเช่นระยะที่ 2 บี หรือระยะที่ 3 ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาโดยมีเป้าหมายขึ้นทะเบียนในเดือนเมษายน 2565