ข่าวต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์

ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง ‘ทรัมป์-กลุ่มขวาจัด’ เหตุจลาจล 6 ม.ค.

เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ 7 นาย ยื่นฟ้องคดีความสิทธิพลเมืองเพื่อเอาผิด โดนัลด์ ทรัมป์ และฝ่ายขวาจัด

Home / NEWS / ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง ‘ทรัมป์-กลุ่มขวาจัด’ เหตุจลาจล 6 ม.ค.

ประเด็นน่าสนใจ

  • เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ 7 นาย ยื่นฟ้องคดีความสิทธิพลเมืองเพื่อเอาผิด โดนัลด์ ทรัมป์ และฝ่ายขวาจัด
  • กรณีบุกรุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.
  • ระบุ การจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. เป็นความพยายามอย่างโจ่งแจ้งในการปิดกั้นคะแนนและเสียงของชาวอเมริกันหลายล้านคน โดยเฉพาะผู้ลงคะแนนชาวผิวดำ

เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ 7 นาย ยื่นฟ้องคดีความสิทธิพลเมืองเพื่อเอาผิดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโรเจอร์ สโตน ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์ รวมถึงสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาจัด กรณีบุกรุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.

เดอะ ฮิลล์ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่าคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นฟ้องคดีความข้างต้นที่ศาลยุติธรรมในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยกล่าวหาว่าทรัมป์ร่วมดำเนินการกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาจัด อาทิ พราวด์ บอยส์ (Proud Boys) และโอธ คีปเปอร์ส (Oath Keepers) ที่ทำการก่อการร้ายภายในประเทศระหว่างเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภา

คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าทรัมป์และจำเลยคนอื่นๆ ฝ่าฝืนทั้งกฎหมายของประเทศและบทบัญญัติแห่งกฎหมายคูคลักซ์แคลน (Ku Klux Klan Act) ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติปี 1871 ที่กำหนดให้การใช้กำลังหรือการข่มขู่เพื่อกีดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย

กลุ่มผู้ร้องทุกข์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 5 คน อ้างว่าการกระทำของจำเลยได้รับแรงกระตุ้นจากการส่งเสริมทฤษฎีสมคบคิดภายใต้แนวคิดคนผิวขาวสูงส่งที่สุดและคำโกหกที่ว่ามีการโกงการเลือกตั้งเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีประชาชนผิวดำจำนวนมาก

“การจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. เป็นความพยายามอย่างโจ่งแจ้งในการปิดกั้นคะแนนและเสียงของชาวอเมริกันหลายล้านคน โดยเฉพาะผู้ลงคะแนนชาวผิวดำ” ความเห็นจากเดมอน เฮวิตต์ ประธานคณะกรรมการนักกฎหมายเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นทนายให้คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ

รายงานระบุว่าการยื่นฟ้องครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้กล่าวหาว่าทรัมป์ลอบวางแผนกับกลุ่มฝ่ายขวาจัด เพื่อใช้กำลังและการข่มขู่กีดขวางสภาคองเกรส ซึ่งดำเนินการยืนยันชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน

ที่มา : Xinhua