กิจกรรมวันเด็ก วันเด็ก วันเด็ก2562

กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวัง!! การเล่นลูกโป่งอัดไฮโดรเจน งานวันเด็ก

กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองเตรียมสุขภาพลูกให้แข็งแรงพร้อมร่วมกิจกรรมวันเด็ก เตรียมน้ำดื่ม รับประทานอาหารสะอาด ล้างมือหลังเล่นของเล่นร่วมกัน ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครองหากเด็กพลัดหลง นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าวันเด็กปี 2562 นี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญว่า…

Home / NEWS / กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวัง!! การเล่นลูกโป่งอัดไฮโดรเจน งานวันเด็ก

กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองเตรียมสุขภาพลูกให้แข็งแรงพร้อมร่วมกิจกรรมวันเด็ก เตรียมน้ำดื่ม รับประทานอาหารสะอาด ล้างมือหลังเล่นของเล่นร่วมกัน ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครองหากเด็กพลัดหลง

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าวันเด็กปี 2562 นี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญว่า “เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ”

มุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคน น้อมนำแนวทางจิตอาสาพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาสืบสานต่อยอดพระราชปณิทานของพระองค์ในการเป็นผู้ให้ มีจิตใจโอบอ้อมอารี อุทิศตนเพื่อส่วนรวม

โดยหน่วยงานได้จัดกิจกรรมขึ้นเพื่อเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก ทางกระทรวงสาธารณสุขขอให้ผู้ปกครองเตรียมสุขภาพของบุตรหลานให้แข็งแรง หากเป็นไข้หวัดไม่ควรไปร่วมกิจกรรม เพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่เด็กคนอื่น ๆ

ขอให้ล้างมือเด็กบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากจับของเล่น ก่อนหยิบจับขนม ก่อนอาหารรับประทาน เลือกอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ จากร้านที่ถูกสุขลักษณะ ขนมควรมีวันเวลาที่ผลิตแสดงไว้ชัดเจน และยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ

นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรจัดทำป้ายชื่อของเด็กและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อผู้ปกครองติดตัวเด็กไว้ ให้สามารถติดต่อได้หากเกิดการพลัดหลง รวมถึงระมัดระวังการเล่นลูกโป่งอัดไฮโดรเจนซึ่งเป็นแก๊สที่ไวต่อประกายไฟ อาจเกิดอันตราย หากลูกโป่งแตกควรเก็บเศษทิ้งเพื่อป้องกันเด็กหยิบมาอมหรือกัดเล่น อาจลื่นเข้าไปในลำคออุดกั้นทางเดินหายใจได้

ทั้งนี้ ข้อมูลสำนักระบาดวิทยา ในปี 2561 มีเด็กอายุ 1 ถึง 5 ปีป่วยเป็นไข้หวัด และเข้ารับการรักษา จำนวน 45,040 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.11 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด และมีเด็กในกลุ่มอายุเดียวกันป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงจำนวน 221,920 ราย คิดเป็นร้อยละ 18.61 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด