ประเด็นน่าสนใจ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวกรณีประธานาธิบดีแฟรงก์วอลเตอร์–ชไตน์ไมเออร์กล่าวสุนทรพจน์ที่ประตูบรันเดนบัวร์กในกรุงเบอร์ลินเนื่องในวาระครบรอบ30 ปีการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินเมื่อวันที่9 พ.ย. 2532 ด้วยการโจมตีสหรัฐ
โดยเนื้อหามีการระบุว่ารัฐบาลวอชิงตันมีบทบาทอย่างมากในทลายการแบ่งแยกระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับเยอรมนีตะวันออกผ่านการทำลายกำแพงเบอร์ลินนอกจากนี้ยังมีการระบุด้วยว่ารัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันกลับสร้างกำแพงแห่งใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งขัดขวางความร่วมมือในการสรรสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพเพื่อขจัดแนวคิดอัตตานิยมความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
พร้อมกันนี้ประธานาธิบดีชไตน์ไมเออร์เผยอีกว่าเขาหวังว่าสหรัฐจะกลับมาให้เกียรติพันธมิตในระดับที่เท่าเทียมกัน
ขณะเดียวกันชไตน์ไมเออร์ได้กล่าวขอบคุณพันธมิตรในยุโรปตะวันออกอาทิโปแลนด์ฮังการีและสาธารณรัฐเช็กที่มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือการรวมชาติอย่างสันติของเยอรมนีโดยผู้นำของทุกประเทศที่กล่าวมาได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีด้วย
ด้านนายกรัฐมนตรีอังเกลาแมร์เคิลซึ่งเติบโตในภูมิภาคที่เป็นอดีตเยอรมนีตะวันออกกล่าวว่ากำแพงเบอร์ลิน“คือประวัติศาสตร์” ซึ่งมอบบทเรียนครั้งสำคัญให่แก่มนุษยชาติว่า“ไม่มีกำแพงใด” สามารถขวางกั้นความต้องการเสรีภาพของประชาชนได้
ขณะเดียวกันแมร์เคิลได้กล่าวยกย่องผู้เสียชีวิตและผู้ที่ถูกคุมขังจากการพยายามข้ามกำแพงเบอร์ลินในสมัยสงครามเย็นพร้อมทั้งกล่าวด้วยว่าแม้กำแพงเบอร์ลินล่มสลายไปนานแล้วแต่การต่อสู้เพื่อ“เสรีภาพที่แท้จริง” บนโลกใบนี้“ยังไม่จบสิ้น“
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ได้ส่งสารมายังรัฐบาลเยอรมนีเพื่อร่วมแสดงความรำลึกการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินและสหรัฐจะเดินหน้าร่วมมือทุกด้านกับเยอรมนีซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมของสหรัฐให้เสรีภาพนำทางสู่ความหวังและโอกาสในการสร้างสันติภาพ