กรุงไทย ข่าวจังหวัดตรัง ข่าวสดวันนี้ ถอนเงิน เงินหายจากบัญชี

ชาวบ้านร้องเรียน ธนาคารปล่อยคนอื่นถอนเงินเกือบหมดบัญชี

ชาวบ้านร้องเรียน ธนาคารปล่อยคนอื่นถอนเงินเกือบหมดบัญชี จำนวน 103,000 บาท ด้านตำรวจทำหนังสือไปถึงธนาคารกรุงไทย สาขาห้วยยอดแล้ว ให้ดำเนินการตรวจสอบ วันที่ 11 มกราคม 2562 นางอนุสา ไตรระเบียบ อายุ…

Home / NEWS / ชาวบ้านร้องเรียน ธนาคารปล่อยคนอื่นถอนเงินเกือบหมดบัญชี

ชาวบ้านร้องเรียน ธนาคารปล่อยคนอื่นถอนเงินเกือบหมดบัญชี จำนวน 103,000 บาท ด้านตำรวจทำหนังสือไปถึงธนาคารกรุงไทย สาขาห้วยยอดแล้ว ให้ดำเนินการตรวจสอบ

วันที่ 11 มกราคม 2562 นางอนุสา ไตรระเบียบ อายุ 55 ปี ชาวบ้านหมู่ 1 ต.หนองปรือ อ.รัษฎา จ.ตรัง พร้อมญาติพี่น้องรวม 4 คน ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวหลังได้รับความเดือดร้อนจากการที่เงินในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาห้วยยอด ที่ตนเองได้เก็บหอมรอมริบฝากไว้เพื่อใช้ในยามแก่ จำนวน 103,000 บาท

ถูกหลานในไส้ที่ตนเองให้ช่วยเก็บสมุดบัญชีเงินฝากไว้ แอบนำสมุดบัญชีเงินฝากเพียงเล่มเดียวและปลอมลายเซ็นไปถอนเงินโดยไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรยืนยัน ซึ่งได้ลักลอบถอนเงินออกจากบัญชีครั้งละหลักพัน ถึงสูงสุด จำนวน 40,000 บาท จนเงินเกือบหมดบัญชี คงเหลือติดบัญชีอยู่เพียงจำนวน 20,739 บาทเท่านั้น

จากนั้นทั้งหมดจึงได้ขึ้นไปสอบถามความชัดเจนจากทางธนาคารแต่ได้รับการปฏิเสธ โดยทางธนาคารยืนยันไม่ขอรับผิดชอบใดๆ โดยแนะนำให้เจ้าของเงินไปแจ้งความเอาผิดหรือเรียกเงินคืนจากหลานสาวเอง หรือหากธนาคารจะรับผิดชอบจะต้องให้คดีความแล้วเสร็จก่อน

โดยนางอนุสา กล่าวว่า ตนเองมาทราบเรื่องเมื่อประมาณ 1 เดือนเศษที่ผ่านมา หลังจากจะขอสมุดบัญชีเงินฝากที่ฝากไว้กับนางสาวสายชล เกตุแก้ว อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ เพื่อจะนำไปเบิกเงินจากธนาคาร แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงโดยหลานสาวอ้างว่า ทำสมุดบัญชีเงินฝากหาย ตนเองจึงไปทำใหม่ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาห้วยยอด แต่ต้องตกใจและร้องไห้หลังพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 20,000 กว่าบาท

เมื่อสอบถามจากทางธนาคารได้รับคำตอบว่า หลานสาวของตนเอง คือ นางสาวสายชล ได้นำสมุดบัญชีเงินฝากมาถอนเงินออกไปแล้ว โดยใช้เพียงสมุดบัญชีเงินฝากเล่มเดียว พร้อมลงชื่อนางอนุสา ซึ่งตรวจสอบพบว่าหลานสาวปลอมลายเซ็นตนเอง

ทั้งนี้ มีการแอบถอนเงินนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา ครั้งละหลักพัน 10,000, 20,000 มากที่สุด คือ 40,000 บาท โดยเดือนกรกฎาคม 2561 ถอนมากที่สุดถึง 3 ครั้ง จำนวน 3,000 , 5,000 และ 40,000 บาท ตามลำดับ โดยเมื่อถามความรับผิดชอบจากธนาคารฯ กลับได้รับคำตอบว่าทางธนาคารให้เบิกเงินถูกต้อง

เพราะมีสมุดบัญชี และลายเซ็นถูกต้อง โดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เพราะเป็นการเบิกถอนเงินจากสาขาที่ฝาก ไม่ใช่ถอนต่างสาขาที่จะต้องใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวบุคคลด้วย จึงให้นางอนุสาไปตกลงขอคืนเอาเองจากนางสาวสายชลเอาเอง ทางธนาคารไม่สามารถรับผิดชอบได้ หากไม่ได้คืนก็แนะนำให้ไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อเอาเงินคืนจากนางสาวสายชล

ซึ่งทางนางอนุสา และญาติได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว แต่ทางตำรวจดำเนินการอะไรไม่ได้เนื่องจากต้องให้ธนาคารแจ้งความเอาผิดกับนางสาวสายชลเอง แต่ทางธนาคารไม่ทำ

ทั้งนี้ นางอนุสา พร้อมด้วยญาติๆ กล่าวอีกว่า ตนเองพาหลานสาวมาพบกับพนักงานธนาคารแล้ว ซึ่งหลานสาวยอมรับต่อหน้าพนักงานธนาคารว่าเบิกเงินไปจริง โดยลงชื่อนางอนุสา (เจ้าของบัญชี) พร้อมกับบอกว่าธนาคารให้เบิกง่ายเอง ถ้าไม่ให้เบิกตั้งแต่แรกตนเองก็เบิกไม่ได้ และไม่เสียหายมากขนาดนี้

โดยทางญาติยืนยันจะเอาเรื่องธนาคารให้ถึงที่สุด และเรียกร้องให้ออกมารับผิดชอบ เพราะไว้ใจธนาคารจึงนำเงินมาฝาก และหากใครก็สามารถนำสมุดบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่นมาเบิกเงินง่ายดายโดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชนแล้วจะนำเงินมาฝากทำไม

จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางไปที่ สภ.ห้วยยอด พบกับ พ.ต.ท.ณัฐ รัตนพันธ์ รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.ห้วยยอด จึงได้รับแนะนำว่า กรณีนี้ทางธนาคารจะต้องรับผิดชอบต่อเงินของลูกค้าที่หายไปทั้งหมด จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ และธนาคารจะต้องมาแจ้งความเอาผิดกับคนที่เบิกเงิน คือ นางสาวสายชล เอาเอง ไม่ใช่ให้เจ้าของเงินมาแจ้งความ เพราะเจ้าของเงินไม่มีหลักฐานใดๆ

แต่จนถึงขณะนี้ทางธนาคารยังไม่แจ้งความ และหลังจากเจ้าของเงินมาแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ ทางตำรวจจึงได้ทำหนังสือไปถึงธนาคารกรุงไทย สาขาห้วยยอดแล้ว ให้ธนาคารดำเนินการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามทางเจ้าของเงิน และญาติยืนยันเรียกร้องให้ทางธนาคารออกมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น