ประเด็นที่น่าสนใจ
- รัฐบาลเดินหน้าเร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมไวรัสกลายพันธ์ุ
- เห็นชอบการจัดหาวัคซีน 120 ล้านโดสในปี 2565 นอกเหนือจาก 105.5 ล้านโดสที่จะจัดหามาภายในปี 2564 นี้
- วัคซีนหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ฟรี ได้แก่ วัคซีน AstraZeneca, Sinovac, Pfizer และ Johnson & Johnson
- ส่วนวัคซีน Sinopharm และวัคซีน Moderna เป็นวัคซีนทางเลือกภายใต้แนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเอกชน
- สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส
- สนับสนุนการศึกษาภูมิคุ้มกันระยะยาวของผู้ที่ได้รับวัคซีน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้วัคซีนเข็มที่ 3
…
โฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลเดินหน้าเร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมไวรัสกลายพันธ์ุ
วันนี้ (19 ก.ค. 64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของไทย เป็นการบริหารจัดการแบบบูรณาการมีส่วนราชการที่เข้ามาร่วมกันทำงานในลักษณะคณะกรรมการในนาม “ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19” โดยมีแผนการจัดหาและกระจายวัคซีนเป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่พิจารณาร่วมกันมาโดยตลอด
ซึ่งในที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบกรอบการจัดหาวัคซีน 120 ล้านโดสในปี 2565 นอกเหนือจาก 105.5 ล้านโดสที่จะจัดหามาภายในปี 2564 นี้ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ยังเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ในเบื้องต้นจำนวน 20 ล้านโดส โดยมีกรมควบคุมโรค เป็นผู้เจรจาและสั่งซื้อ รวมทั้งให้องค์การเภสัชกรรมเป็นตัวกลางเจรจากับบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ในการจัดหาวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นลำดับ
วัคซีนหลัก เเละวัคซีนทางเลือก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า แผนการจัดหาวัคซีนและการกระจายวัคซีน โดย ศบค. เป็นการทำงานร่วมกันในระดับนโยบาย ที่มีคำแนะนำด้านวิชาการจากคณะแพทย์ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้ดำเนินการจัดหาวัคซีนหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้แก่ วัคซีน AstraZeneca, วัคซีน Sinovac, วัคซีน Pfizer และวัคซีน Johnson & Johnson โดยมีวัคซีน Sinopharm และวัคซีน Moderna เป็นวัคซีนทางเลือกภายใต้แนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเอกชน
โดยที่ผ่านมา คณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานคณะทำงาน ได้เสนอแนวทางในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน และให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาในการจัดหาวัคซีนต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการแล้ว เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดหาวัคซีนในภาพรวมของประเทศต่อไป
แนวทางในการเร่งรัดเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่ม
ขณะเดียวกันในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ยังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อประชาชนไทย โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีหน้าที่และอำนาจขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้เป็นไปตามแผนและกรอบเวลาที่กำหนด รวมถึงการเจรจาต่อรองกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 จากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. และที่ประชุม ศบค. ยังมีแนวทางในการเร่งรัดเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมดังนี้
- เร่งเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 (2nd Generation) ที่จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่มีการกลายพันธุ์
- เร่งรัดการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนด้วยแพลตฟอร์มอื่นๆ นอกเหนือจาก Viral Vector Platform เช่น Inactivated Platform หรือ mRNA Platform เป็นต้น
- สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส รวมทั้งกำหนดแนวทางการขึ้นทะเบียนสำหรับวัคซีนที่วิจัยพัฒนาในประเทศ รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 3
- สนับสนุนการศึกษาภูมิคุ้มกันระยะยาวของผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้วัคซีนเข็มที่ 3 ในประชากรไทย รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ไวรัสกลายพันธุ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามความก้าวหน้าของการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมเพื่อพิจารณาการจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและหญิงตั้งครรภ์