ฉีดวัคซีนสลับชนิด ฉีดวัคซีนแบบผสม วัคซีนโควิด-19

กรมควบคุมโรค เผยมติการประชุมฯ เรื่องการให้วัคซีนโควิด ‘แบบสลับชนิด’

มติเห็นชอบให้ วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2

Home / NEWS / กรมควบคุมโรค เผยมติการประชุมฯ เรื่องการให้วัคซีนโควิด ‘แบบสลับชนิด’

ประเด็นน่าสนใจ

  • กรมควบคุมโรคเผย มติที่ประชุม คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบ บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ให้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 1 เข็ม เป็น AZ หรือ วัคซีนชนิด mRNA
  • พร้อมมีมติเห็นชอบให้ วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2
  • ทางด้าน WHO เผยไม่ได้มีข้อขัดแย้งต่อนโยบายของประเทศไทย เป็นการให้คำแนะนำในภาพรวม

วานนี้ (14 ก.ค.64) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามที่การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 1 เข็ม กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ให้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 1 เข็ม โดยอาจเป็นวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด mRNA อย่างน้อย 4 สัปดาห์ หลังจากวัคซีน Sinovac เข็ม 2

และเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ ซึ่งสามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วขึ้น เพื่อให้การป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ของโรค

ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ กล่าวว่า “ผลการประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ที่ประชุมยืนยันสนับสนุนมติที่ประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์

โดยจะจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติ สำหรับหน่วยบริการต่างๆ เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ และมีการติดตาม ประเมินผลการให้วัคซีนแบบสลับชนิดอย่างเป็นระบบ ตามข้อคิดเห็นของผู้แทนองค์การ อนามัยโลก โดยยืนยันว่าการพิจารณานโยบายการให้วัคซีนโควิด 19 ดังกล่าว ใช้ข้อมูลผลการศึกษาวิจัยในประเทศไทยรองรับ และผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการด้านวิชาการฯ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้

ในที่ประชุมได้มีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นที่มีการเผยแพร่ข้อความและคลิปวีดิโอจากองค์การอนามัยโลก โดย Dr.Soumya Swaminathan หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของ WHO โดยมีเนื้อความบางส่วนกล่าวว่า ประชาชนไม่ควรฉีดวัคซีนโควิด 19 โดยผสมสูตร เนื่องจากจะเกิดความวุ่นวาย หากประชาชนมีโอกาสเลือกตัดสินใจเอง ว่าจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 เข็ม 3 และ 4 ได้เมื่อไหร่ และฉีดวัคซีนของผู้ผลิตรายใด แต่หน่วยงานสาธารณสุขสามารถดำเนินการได้ ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

Dr.Renu Madanlal GARG Acting WHO Representative to Thailand ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า

“องค์การอนามัยโลกไม่ได้มีข้อขัดแย้งต่อนโยบายของประเทศไทย เป็นการให้คำแนะนำในภาพรวม ถ้าหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละประเทศมีข้อมูลสนับสนุน การเลือกใช้วัคซีนแบบใดแบบหนึ่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายและสถานการณ์การระบาด ของแต่ละประเทศ แต่ประชาชนไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง ควรเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานด้านสาธารณสุข สามารถทำได้หากอยู่บนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ และมีข้อเสนอให้มีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลผลการศึกษา นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ในผู้สูงอายุ และกลุ่มโรคเรื้อรังให้มากที่สุด”

ทั้งนี้ คณะกรรมการด้านวิชาการฯ มีข้อเสนอแนะให้มีการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำผลการศึกษาวิจัยมาพิจารณาใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้ข้อมูลว่า มีความพร้อมในการสนับสนุนการวิจัย ทั้งในด้านการให้วัคซีน การติดตามการกลายพันธุ์ รวมถึงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม