ข่าวสดวันนี้ ประท้วงฮ่องกง เที่ยวฮ่องกง

นักท่องเที่ยวลดฮวบ เซ่นพิษประท้วงรุนแรงในฮ่องกง

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างอิงเจ้าของธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐบาลฮ่องกง ระบุว่า ธุรกิจหลายประเภทในฮ่องกงเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง หลังเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลรุนแรงต่อเนื่องมานานเกือบ 4 เดือน ทำให้สนามบิน, ผับบาร์, สถานีรถไฟใต้ดิน และถนนหลายแห่ง ต้องปิดทำการบ่อยครั้งเนื่องจากเกิดเหตุความไม่สงบ นายเรย์มอนด์ หม่า พนักงานขับรถของอูเบอร์…

Home / NEWS / นักท่องเที่ยวลดฮวบ เซ่นพิษประท้วงรุนแรงในฮ่องกง

ประเด็นน่าสนใจ

  • จำนวนนักท่องเที่ยวฮ่องกงลดลงมากกว่าร้อยละ 30
  • เกิดการประท้วงรุนแรงในฮ่องกงต่อเนื่องยาวนานเกือบ 4 เดือนแล้ว
  • ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงใช้กระสุนจริง ยิงผู้ประท้วง

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างอิงเจ้าของธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐบาลฮ่องกง ระบุว่า ธุรกิจหลายประเภทในฮ่องกงเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง หลังเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลรุนแรงต่อเนื่องมานานเกือบ 4 เดือน ทำให้สนามบิน, ผับบาร์, สถานีรถไฟใต้ดิน และถนนหลายแห่ง ต้องปิดทำการบ่อยครั้งเนื่องจากเกิดเหตุความไม่สงบ

นายเรย์มอนด์ หม่า พนักงานขับรถของอูเบอร์ กล่าวว่า รายได้ของเขาต่ำลงราวครึ่งหนึ่ง หรืออาจมากกว่านั้น ทั้งที่รายจ่ายของเขาเท่าเดิม ชัดเจนมากว่าได้รับผลกระทบหนัก ผู้คนก็นั่งแท็กซี่น้อยลงมาก

รัฐบาลฮ่องกงระบุว่า ยอดการค้าปลีกในเดือนสิงหาคม ตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและตำรวจ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วแหล่งช้อปปิ้งในฮ่องกงหลายครั้ง

คณะกรรมการการท่องเที่ยวฮ่องกง ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ลดลงในสัดส่วนร้อยละ 39.1 มาอยู่ที่จำนวน 3,590,00คน ซึ่งลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2546 ที่เกิดการระบาดของโรคซาส์ ยอดนักท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม ลดลงจากเดือนกรกฎาคมร้อยละ 30.9 ส่วนในเดือนเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ลดลงร้อยละ 42.3

การประท้วงในฮ่องกงเริ่มขึ้นด้วยการต่อต้านร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งชาวฮ่องกงกังวลว่าอาจทำให้ชาวฮ่องกงถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีที่จีน และกฎหมายนี้จะกลายเป็นเครื่องมือจัดการกับผู้ที่ต่อต้านจีน ต่อมาการประท้วงได้ยกระดับเป็นการต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจและเรียกร้องประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม เหตุประท้วงในฮ่องกง เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง