ประเด็นน่าสนใจ
- ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีที่ ‘อภิสิทธิ์’ ฟ้อง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
- กรณี ‘จตุพร’ กล่าวปราศรัยให้ประชาชนทั่วไปฟังผ่านการถ่ายทอดสด ทางช่องพิเพิล แชนแนล เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.2552
- ศาลพิพากษาจำคุก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
วันนี้ (8 ก.ค. 64) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีดำอ.4176/52 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการณ์(นปช.) ในความผิดฐานหมิ่นประมาท จากกรณีเมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.2552 จำเลยได้กล่าวปราศรัยให้ประชาชนทั่วไปฟังผ่านการถ่ายทอดสด ทางช่องพิเพิล แชนแนล ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
นายจตุพร กล่าวว่า เดินทางมาฟังคำสั่งศาลไม่ใช่คำพิพากษา เพราะคำพิพากษาเป็นที่ยุติ และ ได้ถูกจองจำคุกไปแล้ว โดยศาลได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด และสั่งปล่อยตัวเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ได้ฟ้องร้องหลายคดีและศาลมีคำสั่งจำคุก 2 คดี
วันนี้จึงต้องการฟังคำพิพากษา จะไม่มีการขอเลื่อน ขอรับฟังเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ความเสียหาย จากการสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ในขณะที่สั่งให้นับโทษต่อ ทั้งที่ไม่มีอำนาจ ที่จะกระทำได้ กระบวนการยุติธรรมนี้จะรับผิดชอบอย่างไร การที่มีคำสั่งปล่อยตัวในขณะที่ตัวเองเป็นนักโทษชั้นดีเรื่องนี้ต้องขอขอบคุณ
ที่ผ่านมาตัวเองติดคุกมาแล้ว 4 ครั้งเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์คุกคนหนึ่ง รู้แล้วว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร ในส่วนของคณะไทยไม่ทน ต่อให้ไม่มีตัวเองก็จะต้องเดินหน้าต่อ เบื้องต้นจากการที่พูดคุยการชุมนุมในวันเสาร์ที่จะถึงนี้จะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่มีการตั้งเวทีปราศรัยแต่จะยกขบวนไปสมทบกัน
นายจตุพรกล่าวต่อว่าในหลายเรื่องที่ได้ค้างคา ตัวเองได้เตรียมพร้อมและทำสำเร็จหมดแล้ว ทั้งการเดินทางไปฉีดวัคซีน ทำฟัน เพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรขอให้คนในประเทศ มีความรักและความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
นายจตุพรกล่าวปิดท้ายว่า จะเดินเข้าฟังคำพิพากษาอย่างสง่างาม ถ้าศาลมีคำสั่งให้จำคุกก็จะเดินเข้าเรือนจำอย่างสง่างาม ในฐานะประชาชน แต่ความจริงแล้วการสั่งนับโทษต่อ เป็นการฟ้องซ้ำไม่มีสิทธิ์ที่จะพิจารณาตั้งแต่ต้น เพราะถ้าโจทก์จะเห็นแย้ง ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่รอบแรกที่ตัวเองรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ เพราะตัวเองได้สู้เรื่องการนับโทษใหม่ ซึ่งขณะนั้นโจทก์ไม่ได้เห็นแย้ง และตัวเองถูกคุมขัง
ตามกระบวน
อย่างไรก็ตามคดีนี้ศาลชั้นต้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จำเลยยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน และให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ ต่อจากโทษจำคุกจำเลยคดีอาญาหมายเลขแดง อ.4907/55 ของศาลชั้นต้น และยกเลิกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของจำเลยเลขที่ อท.229/61 ลงวันที่ 19 ก.พ.2561 กับให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดใหม่ เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป จำเลยยื่นฎีกา และคำร้องคัดค้าน
ภาพ : วิชาญ โพธิ