Shopee ช้อปปี้

Shopee เผยทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน

Shopee(ช้อปปี้) จัดงานแถลงทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน ภายใต้ชื่อกิจกรรม Shopee Media Trip เมื่อวัน 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา Shopee(ช้อปปี้) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือบริษัท Sea จัดงานแถลงทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…

Home / NEWS / Shopee เผยทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน

Shopee(ช้อปปี้) จัดงานแถลงทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน ภายใต้ชื่อกิจกรรม Shopee Media Trip

เมื่อวัน 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา Shopee(ช้อปปี้) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือบริษัท Sea จัดงานแถลงทิศทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน ภายใต้ชื่อกิจกรรม Shopee Media Trip ณ สำนักงานใหญ่ Shopee ประเทศสิงคโปร์ โดยมี คริส เฟิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Shopee(ช้อปปี้) บรรยายให้ข้อมูล พร้อมตอบคำถามจากสื่อมวลชน

โดย ‘ช้อปปี้’ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เผยโฉมสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการลงทุนในระยะยาวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคนี้ โดยสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 244,000 ตารางฟุต และจะเป็นฮับสำคัญด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขยายธุรกิจของช้อปปี้ในทั้ง 7 ประเทศ

สำหรับสำนักงานใหม่แห่งนี้สามารถรองรับพนักงานได้ถึง 3,000 คน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เอื้อต่อสิ่งแวดล้อมในการทำงานอย่างสร้างสรรค์และเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งวัฒนธรรมการทำงานที่มีชีวิตชีวาของช้อปปี้ ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านดีไซน์ที่ทันสมัย และสะท้อนถึงแนวคิดในเรื่องความเชื่อมโยง (Connectivity) ความร่วมมือ (Collaboration) และการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Community)

ทางด้าน คริส เฟิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารช้อปปี้ กล่าวว่า “ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี ‘ช้อปปี้’ ได้ขึ้นมารั้งตำแหน่งผู้นำตลาดในภูมิภาคนี้ และในปีนี้เราได้ขึ้นแท่นเป็นแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายระยะยาวในการปลอดปล่อยศักยภาพของโลกแห่งอีคอมเมิร์ซ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ให้มีความน่าสนใจและสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้นในกลุ่มผู้ใช้งานภูมิภาคนี้

‘ช้อปปี้’ ครองแชมป์ผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน

‘ช้อปปี้’ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 โดยคำนึงถึงรูปแบบการช้อปปิ้งผ่านโทรศัพท์มือถือในแต่ละประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน และมีส่วนสำคัญให้ ‘ช้อปปี้’สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี โดย ‘ช้อปปี้’ได้ครองแชมป์แอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งอันดับหนึ่งของภูมิภาคนี้ทั้งในแง่ของจำนวนยอดดาวน์โหลด จำนวนผู้ใช้งานเฉลี่ยรายเดือน

และระยะเวลาในการใช้แอพพลิเคชั่น พิสูจน์ได้จากแคมเปญอันยิ่งใหญ่ล่าสุดอย่าง 9.9 Super Shopping Day ที่มียอดสั่งซื้อสูงขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน

ปฏิสัมพันธ์ และการตอบสนองในรูปแบบโซเชียล คือ หัวใจหลักของ ‘ช้อปปี้’

อ้างอิงข้อมูลจาก Google-Temasek-Bain แสดงให้เห็นว่า อีคอมเมิร์ซเป็นฟันเฟืองที่ใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซจะสูงถึง 1.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2025 หรือ 4 เท่าของมูลค่าในปี 2019 โดย‘ช้อปปี้’ มีแผนการดำเนินงานที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันสู่ความสำเร็จนี้ ด้วยการเชื่อมโยงผู้ใช้ทั่วทั้งภูมิภาค ผ่านการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน

ในปีที่ผ่านมา ‘ช้อปปี้’ ได้พัฒนาฟีเจอร์เกมต่างๆ เพื่อให้การช้อปปิ้งออนไลน์เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้งานและแพลทฟอร์มมากขึ้น ในทุกวันนี้ ‘ช้อปปี้’ ทั่วทั้งภูมิภาคได้เปิดตัวเกมบนแอพพลิเคชั่นมากกว่า 15 เกม อาทิ Shopee Shake Shake ที่มีผู้เล่นแล้วกว่า 700 ล้านครั้ง

นอกจากนี้ผู้ซื้อในปัจจุบันยังมองหาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีการปฏิสัมพันธ์มากยิ่งขึ้น ฉะนั้น ‘ช้อปปี้’ จึงได้ยกระดับฟีเจอร์ให้ตอบสนองความต้องการอย่างตรงจุด เช่น ในปีนี้ ‘ช้อปปี้’ ได้เปิดโหมด Group Play ในเกม Shopee Shake Shake เพื่อให้ผู้เล่นได้รับรางวัลที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเล่นเกมพร้อมกับกลุ่มเพื่อน

และนอกจากนี้ ‘ช้อปปี้’ ยังพัฒนา Shopee Feed เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบของสังคมโซเชียลในการช้อปปิ้งผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งเริ่มใช้งานแล้วในประเทศไทย ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเวียดนาม และจะขยายสู่ประเทศอื่นๆ ในเร็วๆ นี้

โดย Shopee Feed เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถติดตามเพื่อน ผู้ขาย และแบรนด์ที่ชื่นชอบต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดสินค้าและโปรโมชั่นที่น่าสนใจ

‘ช้อปปี้’ พร้อมส่งมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 Big Sale ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี

เริ่มต้นขึ้นแล้ว สำหรับฤดูกาลแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ช่วงปลายปี ‘ช้อปปี้’ รุกหนักเตรียมส่งมหกรรมแห่งปี 11.11 Big Sale ซึ่งรับรองว่าจะเป็นมหกรรมช้อปปิ้งครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดย Shopee 11.11 Big Sale จะเปิดตัวพร้อมกันใน 7 ประเทศ และจะจัดยาวต่อเนื่องไปจนถึงวันดีเดย์ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งผู้ใช้งานทุกประเทศสามารถเพลิดเพลินกับดีลและโปรโมชั่นเด็ดสุดโดนใจ อาทิ โปรส่งฟรี 2 ทุกวันตลอดช่วงแคมเปญ 11.11 Big Sale

เสริมทัพด้วยสินค้านับล้านไอเท็มจากผู้ขายและแบรนด์ชั้นนำมากมายบนช้อปปี้

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งประวัติศาสตร์ของช้อปปี้ เราได้เตรียมกลยุทธ์และแผนการทางธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนช้อปปี้และตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเราจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุด ผ่านการสร้างปฏิสัมพันธ์ และเชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้าไว้ด้วยกันในรูปแบบโซเชียล” คริส กล่าวทิ้งท้าย

ช้อปปิ้งกับแคมเปญ 11.11 Big Sale ของช้อปปี้ได้ที่ https://shopee.co.th/m/11-11-sale

ทางด้าน เทอเรนซ์ แพง ประธานฝ่ายปฎิบัติการ ช้อปปี้ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า

Q: ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเห็นได้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีแคมเปญใหญ่ๆ เช่น 9.9 หรือ 11.11 ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากนัก มีวิธีอะไรให้ผู้ใช้ให้ความสนใจช้อปปี้ และสัดส่วนระหว่างการช้อปออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และผ่านแอพลิเคชั่นเป็นอย่างไร

A: ก่อนอื่นเลยผมขอต้อนรับทุกท่านสู่สิงคโปร์ ผมมองว่าวันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราได้ต้อนรับสื่อมวลชนจากทั่วภูมิภาค
และผมมองว่าผู้ใช้ของเรามองว่าช้อปปี้เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนฟิลิปปินส์ หลายคนไม่ทราบว่าช้อปปี้ เราเป็นธุรกิจระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่งมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดังนั้นวันนี้เราดีใจที่ได้ต้อนรับทุกท่านสู่สำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ หลังจากนี้ทุกท่านจะมีโอกาสได้เดินชมสำนักงานของเรา สำนักงานแห่งนี้สวยจนหลายคนอาจจะมองว่าเว่อร์เกินไป แต่ผมก็อยากให้ทุกท่านได้ลองเดินชมดู มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเราลงทุนกับเรื่องพนักงานของเรา เพราะในอีคอมเมิร์ซเรารู้ดีว่าพนักงานเป็นหัวใจสำคัญไม่มีทรัพย์สินใดจะมีค่าไปกว่าพนักงานอีกแล้ว ดังนั้นก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาในวันนี้

ผมขอตอบคำถามแรกก่อน เกี่ยวกับแคมเปญใหญ่ของเรา ผมคิดว่าอีคอมเมิร์ซมีความพิเศษเพราะว่าเราเข้าถึงผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบ่อย เพราะเราอยู่ในโทรศัพท์ของผู้ใช้แต่ละคน ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ได้บ่อยกว่าช่องทางออฟไลน์ท่านอาจสังเกตได้ว่าช้อปปี้เน้นเรื่องการสร้างแคมเปญที่ค่อนข้างถี่ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์เรามีแคมเปญทุกเดือน ในวันที่เป็นเลขเบิ้ล (Double Date) เช่น 3.3 4.4 5.5 และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ 11.11

เราต้องการตอบโจทย์ความต้องการและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งอย่างที่ผู้บริโภคมองหา ในเรื่องการสร้างความแตกต่างผมคงไม่สามาถพูดได้ว่ามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษที่เป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ การเปลี่ยนแปลงในโลกของอีคอมเมิร์ซนั้นมีอยู่มากมาย แต่ถ้าลองเปรียบเทียบแคมเปญ 11.11 ของปีนี้และของ 2 ปีก่อน ก็จะเห็นว่าเราไม่ได้เน้นแค่เรื่องการมีสินค้าหลากหลายและราคาถูกเท่านั้น

ตอนแรกเราเน้นเรื่องนั้นเพราะว่าเป็นพื้นฐานของอีคอมเมิร์ซ แต่ต่อไปในอนาคตจะไม่ใช่แบบนั้น เมื่อเช้าเราก็ได้ยินกันแล้วว่าผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความต้องการที่มากขึ้น ต้องการอะไรมากกว่าของที่หลากหลาย หรือราคาที่คุ้มค่า แต่ต้องการประสบการณ์ที่ครบวงจร นั่นก็หมายความว่าเราต้องมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่นการไลฟ์สตรีมมิ่ง การมีเกมให้เล่น และการเชิญให้แบรนด์ต่างๆ มามีส่วนร่วมในไลฟ์สตรีมมิ่งของเรา

ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างประสบการณ์แบบครบวงจรของเรา ซึ่งเมื่อปีสองปีก่อนเรายังไม่เคยทำ ดังนั้นนี่คือวิวัฒนาการที่เราเห็น และเราคิดว่าก็จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ ในอีกปีสองปีข้างหน้านั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง

ส่วนคำถามที่สองเรื่องสัดส่วนระหว่างการใช้งานผ่านโทรศัพท์และผ่านเว็บไซต์ ผมขอเล่าว่าผมเริ่มทำงานด้านอีคอมเมิร์ซ จะเรียกว่าอีคอมเมิร์ซหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ตั้งแต่ปี 2012 ตอนนั้น สัดส่วนการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์คือ 99.5% แต่ตอนนี้กลับกันหมด เพราะ 99.5% ของการใช้งานมาจากแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้เราเข้าถึงคนได้มากขึ้น ลองมองอย่างฟิลิปปินส์หรือประเทศไทย หลายคนไม่มีคอมพิวเตอร์แล้ว ก็ไม่เข้าเว็บไซต์ใช่ไหมครับ แต่ทุกคนมีโทรศัพท์

ดังนั้นการเติบโตในแง่ของโทรศัพท์ทำให้เราเข้าถึงคนได้มากขึ้นนอกเหนือไปจากเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ หรือมะนิลา แต่ได้ในทุกจังหวัดตอนนี้ อีคอมเมิร์ซกลายเป็นเรื่องของทุกคนดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก

Q: ในประเทศฟิลิปปินส์ อยากให้เล่าถึงแผนในการขยายธุรกิจและกลยุทธ์ในการเติบโต รวมถึงเป้าหมายในอนาคตอันใกล้

A: ผมมองว่าฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่หลายคนยังเข้าใจผิด เพราะว่าอะไรหลายคนมองว่าฟิลิปปินส์นั้นเป็นประเทศที่ทำอีคอมเมิร์ซยากเนื่องจากมีเกาะจำนวนมาก การขนส่งและการชำระเงินก็ยาก ดังนั้นเวลาผมมองฟิลิปปินส์ ผมเห็นว่าเป็นตลาดที่มีคนเป็นร้อยล้าน นั่นคือสิ่งสำคัญและเป็นประเทศที่คนนิยมความบันเทิงและการช้อปปิ้ง

ดังนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะการค้าออนไลน์ เพราะสามารถเข้าถึงคนได้หลายร้อยล้าน วันนี้ผมมองว่าฟิลิปปินส์กำลังเติบโตไปข้างหน้า ระบบต่างๆในประเทศก็เอื้อต่อการเติบโต เพราะอีคอมเมิร์ซเป็นสิ่งที่กำลังได้รับการผลักดัน มีบริษัทหลายเจ้ามีผู้ให้บริการด้านการขนส่งที่เกิดขึ้นใหม่มากมาย

โครงสร้างพื้นฐานกำลังเกิดขึ้น ทำให้เรามีโอกาสในการเติบโตได้ดีขึ้น สำหรับเราแล้วเวลาเรามองตลาดที่มีเปอร์เซ็นต์การช้อปออนไลน์ไม่สูงมาก เทียบกับตลาดอย่างจีนหรือสหรัฐที่การช้อปออนไลน์เป็นระดับเลขสองหลัก สิ่งที่เราต้องคิดก็คือการอยู่เคียงข้างผู้ใช้งาน และการดึงดูดผู้ใช้งานหน้าใหม่ที่เพิ่งลองช้อปออนไลน์เป็นครั้งแรก

ลองคิดว่ามีคนในฟิลิปปินส์ที่มาลองช้อปปิ้งออนไลน์เป็นครั้งแรกวันละหลายๆ คน สิ่งที่ช้อปปี้ต้องทำ ก็คือหาทางดึงดูดให้ผู้ใช้เหล่านี้กลับมาใช้บริการซ้ำอีกจนกลายเป็นนิสัยและเกิดเป็นความสัมพันธ์อันดี ทำให้เขากลับมาช้อปออนไลน์อีกเรื่อยๆ ผมว่านี่คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญในช่วงปีสองปีนี้

Q: กลยุทธ์เป็นอย่างไร?

A: ผมคิดว่ากลยุทธ์โดยรวมก็คือการมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ที่มาซื้อของผมได้พูดไปเมื่อสักครู่ว่าการขายของออนไลน์ไม่ใช่แค่มีของหลากหลาย มีแบรนด์หลากหลาย มีแบรนด์ดังๆ หรือราคาถูก ตอนนี้ต้องมีมากกว่านั้นเพราะการช้อปออนไลน์กลายเป็นไลฟ์สไตล์ไปแล้ว ดังนั้นเราต้องดึงดูดผู้ใช้ด้วยเนื้อหาที่ดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่โดนใจ เช่น Sarah Geronimo หรือ Manny Pacquiao

และยังต้องนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนแอพพลิเคชั่นเรานานๆ ไม่ใช่แค่เน้นเพียงการซื้อของ แต่เราต้องดูเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์บนแอพพลิเคชั่นของเรา ผมคิดว่าต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปในอนาคต

Q: ในเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยี ช้อปปี้พัฒนาแพลทฟอร์มอย่างไร มีเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือ นำ AI หรือ แมชชีนเลิร์นนิ่งมาใช้หรือไม่

A: ผมคิดว่านวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา วันนี้มีตัวอย่างดี ๆ จากพาร์ทเนอร์ของเรา 2 แบรนด์ ได้แก่ P&G และ L’Oreal กับ L’Oreal เรามี Modiface และกับ P&G เรามี Shopee Mum’Club นี่คือตัวอย่างนวัตกรรมของเรา ซึ่งเราไม่ได้พัฒนาเอง แต่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับผู้ใช้ แน่นอนว่า DATA เป็นเรื่องสำคัญต่อโลกออนไลน์ทุกวันนี้

ดังนั้นเราจะนำ DATA พวกนี้มาใช้อย่างไรเพื่อจะสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้แต่ละกลุ่ม นี่คือสิ่งที่เราเน้นอยู่ในตอนนี้

Q: ช้อปปี้อยากจะเจาะตลาดมากน้อยแค่ไหน

A: แน่นอนครับ ผมคิดว่าแล้วแต่ว่าคุณอ่านข้อมูลจากไหน ตัวเลขอาจจะอยู่ที่ 2,3,4,5% ผมว่าแล้วแต่ว่าอ่านจากที่ไหน แต่โดยรวมแล้วใจความสำคัญก็คือยังมีโอกาสอีกมาก และนี่คือสิ่งที่เราเห็น ถ้าถามว่าอยากให้โตเร็วแค่ไหน ผมว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ว่าช้อปปี้จะผลักดันการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้อย่างไร แต่ต้องอาศัยผู้เล่นอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายซึ่งเป็นหัวใจของอีคอมเมิร์ซ ทั้งแบรนด์ต่างๆ และผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสทั้งหมดนี้สำคัญต่อการเติบโตมาก

นอกจากนี้ยังต้องมองไปถึงบริษัทขนส่งที่จะมาช่วยวางระบบที่เอื้อต่อการเติบโต รวมไปถึงการให้ความรู้เราจะให้ความรู้ผู้ซื้ออย่างไรจึงจะช่วยให้เขารู้สึกสบายใจในการช้อปออนไลน์ เราทำอย่างไรให้เกิดความน่าเชื่อถือและเกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เราเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ เราคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะช่วยผลักดันการเติบโต เราจึงลงทุนทั้งความพยายามและทรัพยากรเพื่อผลักดันอีคอมเมิร์ซ แต่ถ้าจะให้ผมบอกว่าช้อปปี้เป็นผู้ผลักดันอีคอมเมิร์ซอยู่เจ้าเดียวก็คงจะน่าเกลียดไปหน่อย

Q: คุณคิดว่าจะเจาะตลาดในประเทศที่ตัวเลขต่ำๆ อย่างไร

A: ผมไม่ได้มองว่าตัวเลขต่ำเป็นปัญหา ผมมองเป็นโอกาสมากกว่า ถ้าตอนนี้ตัวเลขของเราอยู่ที่ 30-40 เปอร์เซนต์ก็อาจจะไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ โดยรวมแล้วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่แค่ฟิลิปปินส์นะครับ หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ไม่รวมไต้หวัน ภูมิภาคนี้เป็นตลาดเกิดใหม่ เมื่อปี 2012 เป็นปีที่เริ่มเกิดความสนใจในอีคอมเมิร์ซอย่างจริงจัง ลองมองไต้หวันเป็นตัวอย่าง คุณทราบดีว่าในไต้หวันมีอีคอมเมิร์ซมา 20 ปีแล้ว และในสมัยแรกๆ ผู้ใช้ก็คือคนรุ่นใหม่

ผมอาจจะบอกตัวเลขไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าคนอายุน้อย ลองมองว่าไต้หวันเริ่มจาก 20 ปีก่อน จากคนอายุน้อยในตอนนั้น และคนเหล่านี้ก็อายุมากขึ้นแล้ว ดังนั้นก็แปลว่าคนอายุ 40-50 ในไต้หวันคุ้นเคยกับการช้อปออนไลน์ นี่แหละครับที่เรากำลังทำอยู่

Q: ช้อปปี้อยากก้าวสู่การเป็นแพลทฟอร์มโซเชียล ไม่ใช่แค่แพลทฟอร์มการช้อปออนไลน์ มีกลยุทธ์อย่างไรบ้าง

A: ผมคิดว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นตลาดที่ผู้ใช้ชอบโซเชียลมาก ลองดูตัวเลขการแชทกับผู้ขาย ทั้งก่อนซื้อตอนซื้อ และหลังซื้อ คนไทยชอบคุยกับผู้ขายมาก การแชทเป็นเพียงด้านหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการไลฟ์สดสามารถพูดคุยกับผู้ขายได้ทันที ผู้ซื้อสามารถสอบถามข้อมูลได้เหมือนกับเวลาไปซื้อของในร้านจริงๆ

ผู้ขายเองก็สามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้และไม่ได้เป็นแค่การขายของ นี่คือเหตุผลที่เราอยากทำให้เกิดการพูดคุยมากขึ้น การมีปฏิสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายปฏิสัมพันธ์ผ่านการเล่นเกม และอย่างสุดท้ายคือการเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างช้อปปี้ ผู้ซื้อ และผู้ขาย

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการทำเพื่อให้เกิดบรรยากาศที่โซเชียลมากขึ้น เราเข้าใจว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ไม่ใช่แค่การซื้อขายอีกต่อไป แต่เป็นไลฟ์สไตล์ และนี่คือทิศทางของเรา

Q: คุณบอกว่าพนักงานคือทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้

A: จับต้องได้ครับ

Q: คุณคิดว่าการเน้นเรื่องความสุขของพนักงานจะนำไปสู่ความสำเร็จและการเติบโตของช้อปปี้อย่างไร

A: แน่นอนเลยครับ ผมคิดว่าอีคอมเมิร์ซเป็นอะไรที่พูดไปแล้วก็อาจจะดูซ้ำๆ ถ้าจะบอกว่าต้องเน้นการปรับให้เข้ากับแต่ละประเทศ แต่ก็เป็นเรื่องจริงซีอีโอของเรา คุณคริส เฟิง บอกว่าสิงคโปร์เป็นเพียงหนึ่งในออฟฟิศที่เรามี และเรายังมีทีมงานที่มากความสามารถอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศไทย เพราะว่าคนเหล่านี้อยู่ในตลาดของตัวเอง เข้าใจตลาดในประเทศได้ดีกว่า และรู้ว่าจะต้องตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคอย่างไรรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดในระบบ

ถ้าเราอยากได้พนักงานที่เก่งๆ ที่เข้าใจตลาดเป็นอย่างดีและสามารถคิดกลยุทธ์หรือโครงการดีๆ เพื่อให้เราคว้าชัยชนะในตลาดนั้นได้ เราก็ต้องมองหาคนที่เก่งที่สุด ที่เราสังเกตเห็นในหลายปีที่ผ่านมานี้ก็คือคนเก่งๆ

เมื่อก่อนอาจจะมองหางานที่มั่นคง หรือค่าตอบแทนแต่เดี๋ยวนี้ซับซ้อนกว่านั้น คนเก่งๆ ที่เราจ้างเขามองหาโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลง มองหาโอกาสในการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ การมีเป้าหมายในชีวิต
การก้าวหน้า และต้องการสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้เขามั่นใจ

ความต้องการที่ซับซ้อนเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนเก่งมองหา เป็นความคาดหวังที่พวกเขามี สำหรับเรา การสร้างสำนักงานในลักษณะนี้ การมีสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของการตอบโจทย์ความต้องการของพนักงาน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการสร้างความท้าทายให้พนักงานของเรารู้สึกตื่น ตัวและสนุกกับการทำงานราวกับว่านี่คือธุรกิจส่วนตัว

Q: ในปีหน้า เราจะเห็นอะไรใหม่ ๆ หรือแคมเปญใหม่ ๆ จากช้อปปี้หรือไม่

A: ตอบยากครับ แน่นอนผมคิดว่าต้องมีอะไรใหม่ๆ เพราะว่าเรามีอะไรใหม่ๆ เสมอ ในไตรมาสที่ผ่านมาก็มีอะไรใหม่ๆ และในไตรมาสหน้าก็มี ปีหน้าก็ต้องมีเช่นกัน ที่สำคัญก็คือสิ่งใหม่ๆ ที่ว่านี้ในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันไป อย่างที่สองก็คือสิ่งใหม่ๆ ที่ว่านี้อาจเป็นสิ่งที่วันนี้เรายังคิดไม่ถึง นี่และคือความสนุกของการเป็นบริษัทที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนอะไร แต่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนทุกเมื่อ

อย่างที่ผมบอกไปว่าทีมใแต่ละประเทศของเราก็เก่งมาก มองเห็นเทรนด์และสามารถเปลี่ยนได้เสมอ ผมอาจจะตอบได้ไม่ตรงใจนักเพราะว่าไม่ได้ตอบอะไรที่จับต้องได้ แต่นี่แหละครับคือความน่าสนใจของธุรกิจออนไลน์