ประเด็นน่าสนใจ
- ปืนตำรวจหายไปจากคลังปริศนากว่า 50 กระบอก
- ล่าสุดจับผู้ก่อเหตุได้แล้ว โดยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- สาเหตุเพื่อหาเงินไปใช้หนี้
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณี “ดาบตำรวจ สภ.ท่าหิน นำปืนหลวง ซึ่งเป็นปืนที่อยู่ในคลังของ สภ.ท่าหิน ไปจำนำแก่บุคคลภายนอก ในพื้นที่ สภ.ท่าหิน จว.ลพบุรี ว่า
ได้รับรายงานจาก สภ.ท่าหิน ว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 62 ด.ต.ชรินทร์ บุตรดี ซึ่งทำหน้าที่ดูแลพัสดุและสิ่งของหลวง ได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง โดยการนำอาวุธปืนในคลังของ สภ.ท่าหิน ไปจำนำแก่บุคคลอื่น รวมทั้งหมด 50 กระบอก
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทาง สภ.ท่าหินได้ดำเนินคดีอาญากับ ด.ต.ชรินทร์ฯ ประกอบกับทาง ภ.จว.ลพบุรีได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พร้อมมีคำสั่งให้ออกจากราชไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส กับทุกฝ่าย ประกอบกับได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนดำเนินคดีอาญาดังกล่าว และตั้งชุดสืบสวนติดตามอาวุธปืนดังกล่าวต่อไป
ต่อมา ในวันที่ 25 ต.ค.62 เจ้าหน้าตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายประทีป โตพูล ตามหมายจับของศาลจังหวัดลพบุรี “ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดซื้อ ทำ ดูแล รักษาทรัพย์ใดๆเบียดบังทรัพย์นั้นป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต หรือรับของโจร “ และได้นำตัวฝากขังที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤตมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี
และในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสามารถติดตามอาวุธปืนของหลวงที่หายไปได้อีก 1 กระปอกบริเวณป่าหญ้าด้านหลังศาลารถประจำทาง ถนนสุรนารายณ์ ต.นาโสม อ.ชัยบาดาล จ.ละบุรี
โดยในขณะนี้เบื้องต้น สามารถติดตามอาวุธปืนคืนได้แล้วจำนวน 19 กระบอก คงเหลือที่หายอีก จำนวน 31 กระบอก
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า สภ.ท่าหิน ได้ดำเนินคดี กับ ด.ต.ชรินทร์ฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมกับ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการขยายผลว่ามีผู้ใดมีส่วนร่วมในการกระทำผิดอีกหรือไม่
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุมัติศาลจังหวัดลพบุรี ออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิมเติมอีกจำนวน 5 ราย โดยยืนว่าจะดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระความผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว โดยไม่มีการละเว้นและไม่มีผู้ใดสามารถให้ความช่วยเหลือได้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานด้วยความรอบคอบ โปร่งใส รวดเร็ว เป็นธรรม ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหากทำผิดจริง ต้องเอาโทษให้ถึงที่สุด ทั้งทางวินัยและทางอาญา อย่างเด็ดขาด
โดยจะต้องรับโทษหนักกว่าบุคคลธรรมดา เพราะว่าเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแต่กลับทำผิดเสียเอง โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เคารพต่อเกียรติของตำรวจ พร้อมทั้งกำชับให้ผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย สอดส่อง ตรวจตรา ความสงบเรียบร้อย รวมไปถึง มาตรการในการป้องกันเหตุ
สำรวจสิ่งของหลวงตามกำหนด โดยเน้นย้ำ อย่าให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก และได้กำชับกองบัญชาการทุกภาคส่วน ให้กำกับ ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด อย่างใกล้ชิด คอยสอดส่อง ดูแล ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย ตามคำสั่ง ตร.ที่ 1212/2537 โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้กระทำความผิดเสียเองหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น