ข่าวสดวันนี้ ประท้วงอิรัก

ประท้วงอิรักเดือด กองกำลังยิงสลายม็อบต้านรัฐบาล เจ็บตายอื้อ

[28 ตุลาคม 2562] มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่า มีนักเรียนเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ที่จัตุรัสทาห์รีร์ (Tahrir)ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของประเทศอิรัก โดยรัฐบาลอิรักได้ส่งกองกำลังรักษาความปลอดภัยเพื่อสลายการชุมนุม ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากการประท้วงทั่วประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาลเกี่ยวกับอัตราการว่างงาน การคอร์รัปชัน และการขาดแคลนบริการสาธารณะ เพิ่มขึ้นเป็น 74 ราย…

Home / NEWS / ประท้วงอิรักเดือด กองกำลังยิงสลายม็อบต้านรัฐบาล เจ็บตายอื้อ

ประเด็นน่าสนใจ

  • เกิดเหตุประท้วงในอิรักจนบานปลายกลายเป็นเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่
  • ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
  • องค์การสหประชาชาติประณามการใช้ความรุนแรงปราบปรามการประท้วง

[28 ตุลาคม 2562] มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่า มีนักเรียนเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ที่จัตุรัสทาห์รีร์ (Tahrir)ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของประเทศอิรัก โดยรัฐบาลอิรักได้ส่งกองกำลังรักษาความปลอดภัยเพื่อสลายการชุมนุม

ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากการประท้วงทั่วประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาลเกี่ยวกับอัตราการว่างงาน การคอร์รัปชัน และการขาดแคลนบริการสาธารณะ เพิ่มขึ้นเป็น 74 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 3,600 ราย หลังจากเกิดการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง และกองกำลังรักษาความมั่นคง

ส่วนทางด้านอาลี อัล-บายาตี (Ali al-Bayati) สมาชิกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งอิรัก (IHCHR) กล่าวในแถลงการณ์ว่าการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง และกองกำลังรักษาความมั่นคงระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 74 ราย

อัล-บายาตี ระบุด้วยว่า สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากกรณีที่ผู้ประท้วงถูกยิงด้วยกระสุนของเจ้าหน้าที่คุ้มกันของบรรดาพรรคการเมือง โดยมีสมาชิกกองกำลังรักษาความมั่นคง ได้รับบาดเจ็บจำนวน 3,654 ราย ซึ่งเกิดจากแก๊สน้ำตาเป็นส่วนมาก

อย่างไรก็ตามในระยะเวลาการประท้วงเพียง 3 วันมี อาคารรัฐบาล อาคารสำนักงานใหญ่ทางการเมือง และอาคารส่วนบุคคลถูกเผามากถึง 90 หลัง ซึ่งเป็นฝีมือของบุคคลบางกลุ่มที่ต้องการสร้างความไม่สงบ

ที่มา www.aljazeera.com


 

[9 ตุลาคม 2562] การประท้วงในอิรักยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 8 แล้ว โดยล่าสุด มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 100 คนจนถึงขณะนี้ ความวุ่นวายของการชุมนุมในอิรัก ยังคงรุนแรงต่อเนื่องในหลายเมือง ทั้งกรุงแบกแดด และทางตอนใต้อย่างเมืองอามารา, ดีวานิยา และ ฮิลลา ทั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมได้ จุดไฟเผาสถานที่ราชการหลายแห่งและ มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

จากตัวเลขล่าสุดล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 คาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากการประท้วง 104 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 6,000 คน ซึ่งวันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน ส่วนตัวเลขผู้บาดเจ็บยังไม่มีรายงานเข้ามาอย่างชัดเจน

ขณะที่นายกรัฐมนตรีอิรัก อเดล อับดุล มาห์ดี ออกมา เปิดเผยผ่านโทรทัศน์ว่า ได้สั่งการให้ถอนกำลังทหารทุกหน่วยออกจากย่านซาดร์ ซิตี้ ในกรุงแบกแดด และส่งตำรวจไปประจำการแทนเพื่อลดความตึงเครียด โดยรับปากด้วยว่าจะนำตัวทหารอิรักที่กระทำการรุนแรงและยิงสังหารผู้ประท้วงมาลงโทษด้วย พร้อมกันนี้ยังขอให้ตัวแทนผู้ประท้วงเข้าสู่กระบวนการเจรจากับผู้นำฝ่ายรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การประท้วงครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายครั้งแรก จนลุกลามเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ โดยต้นเหตุมาจากไม่พอใจปัญหาคอร์รัปชั่น การว่างงาน และการบริหารสาธารณะที่คุณภาพย่ำแย่

 


[6 ตุลาคม 2562] ประชาชนในอิรักเป็นจำนวนมาก ออกมาเคลื่อนไหวประท้วงต่อต้านรัฐบาล จากความไม่พอใจเรื่องปัญหาการทุจริต การว่างงาน ไปจนถึงบริการสาธารณะที่ย่ำแย่ ซึ่งขณะนี้มีการประท้วงเข้าสู่วันที่ 5

โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 93 รายแล้ว ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากกองกำลังความมั่นคงใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุม

ทั้งนี้ในเมืองทางตอนใต้ของประเทศ ทั้งเมืองอามารา, ดีวานิยา และ ฮิลลา ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะห์เป็นเมืองที่เกิดเหตุปะทะรุนแรงที่สุด

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อาเดล อับเดล มาห์ดี พยายามจะควบคุมการประท้วงด้วยมาตรการเคอร์ฟิวและการระงับบริการอินเทอร์เน็ตแต่ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ จึงตัดสินใจยกเลิกคำสั่งเคอร์ฟิวในตอนกลางวัน ก่อนที่กลุ่มผู้ประท้วงจะออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหม่ในกรุงแบกแดด และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง

ส่วนทางด้านองค์การสหประชาชาติออกมาประณามความรุนแรงในระหว่างการประท้วง และประกาศกร้าวว่า รัฐบาลอิรักต้องหยุดยั้งความรุนแรงในทันที

อย่างไรก็ตาม เหตุความไม่สงบจากการประท้วงในอิรัก ทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 3,000 คน ขณะที่มีผู้ประท้วงถูกตำรวจจับกุมทั้งสิ้น 540 ราย ซึ่งจนถึงตอนนี้เกือบ 200 คนยังอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่

ที่มา www.aljazeera.com