นักกฏหมาย ออกมาเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้บัตรประชาชนในการแลกบัตรเข้าออกตามสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการสวมรอยนำไปธุรกรรมหรือติดต่อราชการ
นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ กล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ ศรีทอง ชาวจังหวัดปราจีนบุรีถูกสวมรอยเป็นกรรมการบริษัท มาแทนเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ทำให้กรมสรรพากรส่งหนังสือมาแจ้งเตือนเรียกเก็บภาษีอากรย้อนหลังมูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท ว่า โดยปกติแล้วการจัดทะเบียนจัดตั้งกรรมการชุดใหม่ของบริษัท เกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ คือการยินยอมให้นำชื่อไปเป็นกรรมการ
โดยที่เจ้าของชื่อเต็มใจลงลายมือชื่อรับรองด้วยตนเอง ส่วนอีกรูปแบบคือการถูกหลอกให้นำเอกสารสำเนาบัตรประชาชนมาให้ โดยที่เจ้าตัวไม่ทราบมาก่อนว่าจะนำมาใช้ทำอะไร หรือโดนขโมยมาจากร้านถ่ายเอกสาร หรือตามสถานที่ที่ต้องแลกบัตรประชาชนไว้ ซึ่งกรณีของนายไพบูลย์ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีชื่อเข้าไปเป็นกรรมการได้จากรูปแบบใด
ทั้งนี้ ทนายเจมส์แนะนำว่าการแลกบัตรเข้าออกตามสถานที่ต่างๆ หากเป็นไปได้ควรใช้บัตรอื่นที่ไม่ใช่บัตรประชาชน เพราะบัตรประชาชนสามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงใช้ทำเอกสารติดต่อราชการได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากฎหมายภาษีอากรไม่ได้มีช่องโหว่ที่ทำให้คนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของการสวมรอย เพราะเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการตามขั้นตอนเป็นปกติ หากจะผิดก็ผิดที่ประชาชนปล่อยปละละเลย ยินยอมนำบัตรประชาชนให้ผู้อื่นใช้ ซึ่งหากเกิดกรณีอย่างนายไพบูลย์ สิ่งแรกที่ต้องทำหากหลังจากถูกหมายเรียกจากกรมสรรพากรคือเข้าไปชี้แจงรายละเอียด หากไม่ไปชี้แจงอาจถูกดำเนินคดีข้อหาขัดขืนหมายเจ้าหน้าที่ และถ้ายังปล่อยไว้นาน อาจถูกดำเนินคดีเลี่ยงภาษี ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท