‘ทักษิณ’ อัดรัฐบาลถ้าแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านไม่ได้ ก็ให้คนอื่นเข้ามาทำ

ประเด็นน่าสนใจ

วานนี้ (18 พ.ค.64) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมเสวนาในคลับเฮาส์ หัวข้อ “ปลดล็อกยูนีคสกิล สู่ยุดใหม่ของเยาวรุ่น” กับ Tony Woodsome โดยระบุว่า ต่อไปข้างหน้าในปี 2045 ระบบหุ่นยนต์หรือ AI จะเก่งกว่ามนุษย์ที่มีความฉลาดโดยเฉลี่ย หากเรามันความรู้ฉลาดตกกว่าเฉลี่ยเราจะสู้ระบบดังกล่าวไม่ได้ ซึ่งในภายภาคหน้าการวิเคราะห์วิจัยต่าง ๆ ระบบก็จะประมวลผลออกมาเร็วมาก ๆ เพราะฉะนั้นระบบ AI เป็นสิ่งเราต้องยอมรับมันและเริ่มที่จะเรียนรู้กับมัน

วันนี้โลกเป็นยุคดิจิทัล ดังนั้นการเล่นโซเชียลมีเดียต้องลงลึกกว่านั้น อย่าไปสนุกอย่างเดียว เพื่อนำประยุกต์ไปใช้ทำงานในอนาคต วันนี้ได้ฟังบริษัทเกม หาเงินจากเกม หาโฆษณา ความจริง เอาของโบราณมาทำเป็นดิจิทัล เช่น เน็ตฟิก ก็คือ ร้านเช่าวิดีโอ เพียงแต่มีการเปลี่ยนเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ให้คนจ่ายเป็นรายเดือน เพื่อเข้าไปชมเลือกดูหนังหรือซีรี่ย์ที่ต้องการรับชม

เช่นเดียวกับเรื่องเกม จากเมื่อก่อนต้องไปซื้อเกมตามท้องตลาดเกม แต่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตเกมมีมากมาย วันนี้มีการแข่งขันอีสปอร์ต เป็นวิธีการหาเงินคนรุ่นใหม่ วันนี้ต้องการหาอะไร ค้นหาตัวเองให้เจอต้องไปเอาจริงเอาจังกับตรงนั้น สำหรับช่วงโควิด คนรุ่นใหม่หลายคนทั่วโลก อย่าง อินเดีย เจนแซด สมัครงานจากบ้าน โดยรับเด็กมีสกิลต่างๆ จ้างงานในที่ถนัด สามารถเรียนหนังสือ และทำงานไปด้วยได้

ส่วนประเด็นวอร์คอินฉีดวัคซีนว่ามีการให้ข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เตรียมจัดให้วอร์คอิน แต่เมื่อนายกฯ ไปดู แล้วมายกเลิก ส่วนตัวเข้าใจว่าวัคซีนไม่พอ และกลัวว่าจะเกิดแพนิค

โดยในช่วงท้ายนายทักษิณ ได้ตอบคำถามประเด็นการเมืองเกี่ยวกับคณะรัฐประหารจะอยู่อีกนานหรือไม่ โดยตอบว่า ต้องย้อนกลับไป ผบ.ทบ. ที่ทำรัฐประหารเมื่อ 7 ปีที่แล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้กับเมื่อ 7 ปีที่แล้วอันไหนน่าจะทำรัฐประหารกว่ากัน ก่อนจะเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคย 2 ทหารทำรัฐประหารทั้งคู่ว่าร่วมพูดคุยด้วย ทั้งนี้เรื่องการทำรัฐประหารมันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและลึกลับมาก วันนี้มันต้องคิดถึงประชาชนเป็นหลักและประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า ยกเว้นคนที่พอมีเงินเก็บก็อาจจะเดือดร้อนไม่มาก ส่วนคนที่ไม่มีเงินเก็บก็ยิ่งเดือดร้อนมากขึ้น

ซึ่งเราทราบกันดีว่าหนี้สิ้นครัวเรือนในประเทศไทยนั้นสูงมาก เกือบ 90% ของ GDP แล้ว เพราะฉะนั้นหากมีอะไรกระทบนิดเดียวก็จะทำให้เดือดร้อนกันหมด การทำนโยบายเอาเงินไปแจกนั้นไม่ใช่ว่าจะทำให้พวกเขาหายเดือดร้อน จริง ๆ แล้วเงินส่วนนั้นกินไม่กี่มื้อก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องรีบปัญหาดังกล่าวโดยด่วน ถ้าแก้ไม่เป็นก็ให้คนอื่นทำก็ได้