กรมศุลกากร แจงกรณีการนำเข้าหน้ากากอนามัย N95 ทางท่าอากาศยานลักษณะเชิงพาณิชย์ ต้องเสียภาษี 5% และ 7%
จากกรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้ความต้องการหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เพิ่มมากขึ้นจนทำให้สินค้าขาดตลาด ทำให้มีความพยายามในการนำเข้าสินค้าดังกล่าวในฐานะของติดตัวผู้โดยสาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ส่วนตัวและเพื่อประโยชน์ทางการค้า
กรมศุลกากร จึงขอแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสิทธิของผู้โดยสารในการนำของติดตัวเข้ามาพร้อมกับตนทางท่าอากาศยาน กล่าวคือ ผู้โดยสารได้รับยกเว้นอากรสำหรับของส่วนตัวเพื่อใช้เอง มูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท ไม่เป็นของต้องห้าม ของต้องกำกัด และไม่มีลักษณะทางการค้า
หากผู้โดยสารนำของที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือเป็นของที่มีลักษณะเชิงพาณิชย์แม้จะมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท ของดังกล่าวเป็นของต้องเสียภาษีอากร ซึ่งผู้โดยสารสามารถมาสำแดงของเพื่อเสียภาษีอากร ที่ช่องตรวจมีของต้องสำแดง (ช่องแดง) และหากของนั้นเป็นของต้องกำกัด ของนั้นต้องได้รับอนุญาตให้นำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
หน้ากากอนามัย ชนิดที่กรองฝุ่นเพียงอย่างเดียวไม่เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ จึงไม่ต้องมีใบอนุญาตก่อนนำเข้า สำหรับหน้ากากชนิดที่สามารถกรองเชื้อโรคแบคทีเรียได้ เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ ถือเป็นของต้องกำกัด ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการนำเข้า
เช่น หน้ากาก N95 ชนิดที่กันเชื้อโรค กันแบคทีเรีย หากผู้โดยสารได้รับใบอนุญาตแล้วสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำช่องมีของต้องสำแดง เพื่อชำระค่าภาษีอากรได้ในอัตราอากรนำเข้า 5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
ทั้งนี้ ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยาน ได้ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 60/2561 หรือหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ จุดปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรสนามบินนั้นๆ