นาซี หนังสือกายวิภาค

หนังสือกายวิภาคของ ‘นาซี’ ยังคงมีประโยชน์ในวงการทางการแพทย์ ?

เมื่อพูดถึง ‘นาซี’ ภาพที่ถูกนำเสนอออกมาตามสื่อนั้น อาจจะถูกสื่อออกมาในเชิงลบ จากประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายทารุณ ทั้งผ่านทางภาพยนตร์ ซีรีย์ สำนักข่าวต่าง ๆ แต่ใครจะรู้ว่า ในทุกวันนี้หนังสือที่ถูกจัดทำโดย ‘นาซี’ นั้นจะมีประโยชน์ทางด้านการแพทย์และการช่วยชีวิตผู้ป่วย ‘บีบีซี’ ตีแผ่เรื่องราวของ…

Home / NEWS / หนังสือกายวิภาคของ ‘นาซี’ ยังคงมีประโยชน์ในวงการทางการแพทย์ ?

ประเด็นน่าสนใจ

  • pernkopf anatomy เป็นหนังสือเกี่ยวกับกายวิภาค ซึ่งเป็นหนังสือที่ถูกจัดทำขึ้นโดยองค์การภายใต้ระบอบนาซีเยอรมนี ข้อมูลต่าง ๆ ภายในหนังสือ มาจากการศึกษาศพของนักโทษทางการเมือง
  • หนังสือเล่มนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างเปิดเผยแต่ยังคงมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ เพราะเป็นหนังสือที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์อย่างชัดเจน
  • มีแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งยอมรับว่า ข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ทำให้การผ่าตัดคนไข้ของเธอลุล่วงไปได้

เมื่อพูดถึง ‘นาซี’ ภาพที่ถูกนำเสนอออกมาตามสื่อนั้น อาจจะถูกสื่อออกมาในเชิงลบ จากประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายทารุณ ทั้งผ่านทางภาพยนตร์ ซีรีย์ สำนักข่าวต่าง ๆ แต่ใครจะรู้ว่า ในทุกวันนี้หนังสือที่ถูกจัดทำโดย ‘นาซี’ นั้นจะมีประโยชน์ทางด้านการแพทย์และการช่วยชีวิตผู้ป่วย

‘บีบีซี’ ตีแผ่เรื่องราวของ ดร. ซูซาน แม็คคินนอน ศัลยแพทย์เส้นประสาท ที่ต้องการสานต่อการผ่าตัดผู้ป่วยให้สำเร็จ โดยเธอได้อาศัยข้อมูลจากหนังสือชื่อว่า pernkopf anatomy ซึ่งเป็นหนังสือกายวิภาคที่จัดทำขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ตีพิมพ์ในปี 2480 โดยองค์การภายใต้ระบอบนาซีเยอรมนี แม้จะไม่สบายใจนักที่ต้องใช้ข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ แต่ข้อมูลในหนังสือ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การรักษาคนไข้ของเธอลุล่วงไปได้

ดร. ซูซาน แม็คคินนอน ศัลยแพทย์เส้นประสาท มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์

เมื่อพูดถึง pernkopf anatomy ซึ่งเป็นหนังสือทางการแพทย์ประเภทกายวิภาคที่จัดทำขึ้นโดยอาศัยการวาดด้วยมือล้วน ๆ และเป็นหนังสือที่ชื่อได้ว่า มีการแสดงรายละเอียดอย่างเด่นชัด ทั้งผิวหนัง กร้ามเนื้อ อวัยวะ กระดูก ที่ถูกแสดงให้เห็นเป็นภาพกราฟิกหลากสี

ก่อนหน้านี้ pernkopf anatomy ถูกตีพิมพ์กว่า 5 ภาษาจำนวนหลายพันเล่ม และมีการวางขายไปทั่วโลก โดยในปี 1990 ซึ่งเป็นระยะแรก ๆ ที่หนังสือเล่มนี้เป็นที่แพร่หลาย นักวิชาการและนักเรียนนักศึกษา มีการตั้งคำถามว่าบุคคลที่ปรากฎตัวในหนังสือเล่มนี้คือใคร เพราะไม่มีใครทราบที่มาที่ไปของหนังสือที่แน่ชัด จนกระทั่ง 4 ปีต่อมา ประวัติอันโหดร้ายของหนังสือเล่มนี้ก็เป็นที่กระจ่างต่อสังคม

ปัจจุบัน pernkopf anatomy ไม่ได้มีการตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว และหากใครที่ต้องการหนังสือเล่มนี้มาครอบครอง จะต้องหาซื้อในรูปแบบของหนังสือมือ 2 ซึ่งเจ้าของเก่าหลายรายสามารถส่งต่อหนังสือเล่มนี้ได้ในราคาสูงหลายพันปอนด์ หรือ เล่มละหลายหมื่นบาท แต่ผู้ที่ครอบครองหนังสือเล่นนี้ ก็มักจะไม่สามารถเปิดเผยถึงการครอบครองได้มากนัก เพราะประวัติความเป็นมาที่โหดร้ายของหนังสือเล่มนี้

บีบีซีระบุว่า หนังสือเล่มนี้จัดทำโดยการทดลอง วิจัย จากศพของผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนในช่วงสงครามโลก ศพพวกนั้นถูกผ่าตัดและเก็บข้อมูลภายในร่างกาย ซึ่งในยุคหลัง หนังสือเล่มนี้ที่แม้จะมีรายละเอียดและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับเพราะถูกตีตราว่าเป็นหนังสือที่มีมลทิน และมีอดีตอันมืดมน

นายแพทย์ Eduard Pernkopf และทีมวาดภาพของหนังสือ pernkopf anatomy

หนังสือเล่มนี้ เป็นผลผลิตมาจากโครงการใหญ่ที่ใช้ระยะเวลากว่า 20 ปีของแพทย์ชื่อว่า Eduard Pernkopf แพทย์ผู้ได้รับการสนับสนุนจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หัวหน้าพรรคนาซีเยอรมนี ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณบดีของโรงเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเวียนนา

มีข้อมูลชี้ว่าในปี 1939 ศพของนักโทษทางการเมืองที่ถูกประหาร จะถูกส่งไปยังแผนกกายวิภาคศาสตร์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิจัยและการสอนโดย Eduard Pernkopf ซึ่งเขาใช้เวลา 18 ชั่วโมง ต่อวันในการผ่าศพเพื่อศึกษาส่วนต่าง ๆ และนำมาวาดเป็นภาพบนหนังสือเล่มนี้

ด้าน ดร.ซาบีน ฮิลเดอร์ บรันด์ บุคลากรจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดกล่าวว่าภาพในหนังสืออย่างน้อยครึ่งหนึ่งจากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 800 ภาพในหนังสือ pernkopf anatomy มาจากภาพของนักโทษทางการเมืองในยุคนั้น ซึ่งมีทั้งศพของเกย์และเลสเบี้ยน, ยิปซี, ผู้คัดค้านทางการเมืองและชาวยิว

นายแพทย์ Eduard Pernkopf

ชัดเจนว่าแม้ทุกวันนี้ โลกจะรู้ถึงที่มาของหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดี แต่ยังมีบุคลากรทางการแพทย์ นำข้อมูลในหนังสือมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ทางประสาท ซึ่งจากผลสำรวจหลังการอ่าน pernkopf anatomy พบว่า 69% สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไม่กังวลอะไร 15% รู้สึกอึดอัดเมื่อได้อ่าน และอีก 17% รู้สึกไม่แน่ใจ

อย่างไรก็ตาม ดร. ซูซาน แม็คคินนอนกล่าวทิ้งท้ายว่า ในฐานะศัลยแพทย์ผู้มีจรรยาบรรณ เธอจะใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อการศึกษา และคิดว่า มันจะช่วยให้เธอได้ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการ ‘รักษาคนไข้’