ประเด็นน่าสนใจ
- การระบาดของโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ยังคงรุนแรง พบผู้ป่วยเพิ่มราววันละ 1 หมื่นราย
- ส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายพันธุ์ อังกฤษ ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว
- มีการค้นพบสายพันธุ์กลายพันธุ์ ที่พบในฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกว่า สายพันธุ์ P.3
- ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำฟิลิปปินส์ เรียกร้องนานาชาติช่วยแบ่งปันวัคซีน
สถานการณ์โควิด-19 ยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มเฉลี่ยในช่วง 7 วันที่ผ่านมากว่าวันละ 1 ราย ซึ่งยอดสะสมในขณะนี้ มีผู้ป่วยโควิด-19 แล้วทั้งสิ้น 945,745 ราย ซึ่งยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกกว่า 141,000 ราย ส่วนยอดการเสียชีวิตเพิ่มอีก 88 ราย รวมเสียชีวิตแล้ว 16,048 ราย
โดยการระบาดในระลอกนี้ เป็นระลอกที่ 2 ของฟิลิปปินส์ ท่ามกลางสถานการณ์ของการระบาดในระลอกแรกที่ยังไม่ทันจะผ่านพ้นไป และการระบาดในระลอกใหม่นี้ มีแนวโน้มที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ จำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมประชาชนได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์มากกว่า 13 ล้านคน
…
ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น และมีผู้ป่วยหนักเพิ่มมากขึ้น ทำให้ในขณะนี้ห้องไอซียู สำหรับรองรับผู้ป่วยถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 80% และเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลกว่า 70% ถูกใช้รองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีเตียงว่างเพียงพอที่จะรับผู้ป่วยเพิ่ม ทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 บางรายต้องเสียชีวิตในห้องฉุกเฉิน ระหว่างรอเตียงในโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการ ท่ามกลางผู้ป่วยที่ถูกส่งตัวมายังห้องฉุกเฉินเป็นจำนวนมาก หลายแห่งมีผู้ป่วยรอรับการรักษาในห้องฉุกเฉินมากกว่าจะรองรับได้ ทำให้ผู้ป่วยบางรายต้องนั่งรอที่พื้นภายในห้องแทน
…
เชื้อสายพันธุ์อังกฤษ – แอฟริกาใต้ ทำยอดพุ่ง
ในการระบาดระลอกใหม่นี้ ทางการของฟิลิปปินส์ได้มีการตรวจเชื้อเพื่อค้นหาสายพันธุ์ของการระบาดพบว่า จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 752 ราย พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์แอฟริกาใต้ เป็นส่วนใหญ่
ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์นี้ มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่ในการทดสอบวัคซีนในหลายแห่งพบว่า เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ มีความสามารถในการหลบเลี่ยงแอนตี้บอดี้ หรือภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่น ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับลดลง
ในขณะที่สายพันธุ์ P.1 ที่มีการระบาดสูงในอินเดีย ยังไม่พบมากนัก
…
พบสายพันธุ์ใหม่ครั้งแรก ในฟิลปปินส์
ในขณะเดียวกัน ผลการตรวจหาสายพันธุ์ของโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ ยังพบสายพันธุ์ใหม่ที่พบครั้งแรกในฟิลปปินส์ อีกด้วย โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สายพันธุ์ “P.3”
สายพันธุ์ P.3 นี้ พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดยพบในตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ ที่เรียกว่า ภูมิภาควิซายัส โดยในปัจจุบัน พบว่า สายพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในหลายจุด ซึ่งมีบางจุดที่น่ากังวล เนื่องจากคาดว่า อาจจะทำให้ไวรัสมีความสามารถยึดเกาะกับเซลล์ของผู้ป่วยได้ดีขึ้น
โดยมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่ง E484K, N501Y, และ P681H ที่มาการรายงานความเชื่อมโยงกับการระบาดได้รวดเร็วขึ้น ซึ่ง 2 ใน 3 ตำหน่งนั้น เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับสายพันธุ์ B.1.1.28 ที่พบในบราซิลในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ยังไม่มีรายงานยืนยันว่า เชื้อกลายพันธุ์ในสายพันธุ์ P.3 ที่พบในฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้นแต่อย่างใด และเนื่องจากเป็นเชื้อที่เพิ่งมีการพบใหม่เป็นครั้งแรกใน ฟิลิปปินส์ จึงยังคงต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป
…
ผู้แทน WHO เรียกร้อง นานาชาติแบ่งปันวัคซีน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ราบินดรา อาเบยาซิง ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำฟิลิปปินส์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ประเทศที่มีรายได้สูง แบ่งปันวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นฟิลิปปินส์
“เรายังคงเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ แบ่งปันวัคซีน และทำให้เทคโนโลยีทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้ เพื่อให้ประเทศอื่นๆ สามารถเข้าร่วมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตวัคซีน” อาเบยาซิงแถลง พร้อมเสริมว่า “เรายังไม่สามารถปกป้องบุคลากรการแพทย์แนวหน้าทั้งหมดได้ และตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าบุคลากรการแพทย์จำเป็นต้องได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะสามารถดูแลผู้ป่วยได้”
อาเบยาซิงกล่าวว่าฟิลิปปินส์คาดหวังให้โคแวกซ์ (COVAX) โครงการริเริ่มที่นำโดยองค์การอนามัยโลก ส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพิ่มมายังฟิลิปปินส์เติม ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้
ด้านเมอร์นา คาโบทาจ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ กล่าวว่าวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนของบริษัทซิโนแวค (Sinovac) ของจีน
ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศแรกที่จัดส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มายังฟิลิปปินส์ โดยวัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) ของบริษัทซิโนแวค ถูกส่งมาถึงเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ก่อนที่ฟิลิปปินส์จะเริ่มฉีดวัคซีนขนานใหญ่ในวันที่ 1 มี.ค. โดยรัฐบาลตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนสูงสุด 70 ล้านคนในปีนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยเริ่มจากบุคลากรการแพทย์และผู้สูงอายุ