ประเด็นน่าสนใจ
- แนวโน้มการพบผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
- มีปัญหาการขาดแคลนยาคล้ายกล้ามเนื้อ – ยาระงับประสาท สำหรับผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู
- 16 รัฐ จาก 26 รัฐ จำนวนเตียงผู้ป่วยหนักถูกใช้ไปแล้วกว่า 90%
- มีอย่างน้อย 4 เมืองหลัก เตียงผู้ป่วยหนักในห้องไอซียูอยูที่ 100% ขึ้นไป
- มีการซื้อขายสิทธิ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผิดกฎหมาย
- ผลการศึกษาระบุ เชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์ P.1 ในบราซิลสามารถกระจายได้เร็วมากกว่าสายพันธุ์เดิม 2 เท่า สามารถหลบเลี่ยง-ต้านทานภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในบราซิลกำลังเข้าสู่วิกฤติที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยล่าสุด แนวโน้มอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 วันล่าสุด บราซิลมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยกว่า วันละ 3,124 รายต่อวัน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา
โดยในวันที่ 8 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา บราซิลมียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในบราซิล คือ 4,249 ราย ภายในวันเดียว
ในรอบ 4 สัปดาห์ล่าสุด จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่า สัปดาห์ละ 15,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีรายงานว่า เป็นผู้เสียชีวิตที่ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่า ยังคงมีผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในรายงานของรัฐบาลบราซิล เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตและถูกนำไปฝังก่อนที่จะมีการตรวจหาเชื้อ
…
สถานการณ์ใน รพ. กำลังวิกฤติหนักขึ้น
ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่ยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่องเรื่อย ๆ ทำให้จำนวนเตียงที่ใช้ในการรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล – สถานพยาบาลในบราซิลกำลังขาดแคลนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ผู้ป่วยหนัก ที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด รวมถึงเครื่องช่วยหายใจ เริ่มขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ การหายาบางชนิดเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนัก เริ่มทำได้ยากขึ้น และหากยังเป็นเช่นนิดในช่วงสัปดาห์ข้างหน้าที่จะถึงนี้ อาจจะประสบปัญหาการขาดแคลน และทำให้ส่งผลต่อยอดผู้เสียชีวิตที่จะพุ่งสูงขึ้นด้วย หากทางการบราซิลยังไม่สามารถจัดหา และกระจายได้ทัน
โดยเฉพาะในรัฐเซาเปาโล ที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนยา ที่จะให้กับผู้ป่วยใน ICU เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาระงับประสาท ทำให้มีความจำเป็นในการต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีการอื่น ๆ แทน สำหรับผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงวิธีการใช้การมัดมือผู้ป่วยไว้กับเตียง เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยดึงท่อช่วยหายใจออก
รายงานล่าสุด ระหว่างวันที่ 5-12 เม.ย. 2564 ระบุว่า มีเพียงรัฐ Roraima ที่เดียวเท่านั้น ที่เตียงผู้ป่วยหนัก ส่วนที่เหลือมีรายงานดังนี้
- มี 16 จากทั้งหมด 26 รัฐที่เตียงผู้ป่วยหนัก ( ICU ) ถูกใช้เกิน 90% ไปแล้ว
- มี 6 รัฐ ที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ในห้อง ICU อยู่ที่ 80-89%
- มี 3 รัฐ ที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ในห้อง ICU อยู่ที่ 70-79%
ซึ่งหากมองที่เมืองใหญ่ พบว่า มี 19 เมืองที่มีผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู เกิน 90% โดยเฉพาะในเมือง Porto Velho, Teresina, Campo Grande ที่มีผู้ป่วยในห้องไอซียู ที่ 100% หรือมากกว่า ในขณะที่เมืองเซาเปาโล มีผู้ป่วยหนักลดลงจาก 90% เหลือ 88% แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากทีเดียว
…
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนอ๊อกซิเจน สำหรับให้ผู้ป่วยหนัก ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะเร่งกำลังผลิตและนำเข้า แต่สถานการณ์ก็ยังคงอยู่ในระดับวิกฤติที่วางใจไม่ได้
*** อ้างอิง – Fiocruz.br
…
ซื้อขายสิทธิ์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ในการระบาดระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น ทางการบราซิลได้พยายามเร่งในการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงและประชาชน โดยได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 31 ล้านโดส มีประชาชนมากกว่า 7.5 ล้านคน ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดส และมีประชาชนจำนวน 24 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่นั้น มีรายงานการ ซื้อ-ขายสิทธิ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระหว่างคนที่มีเงิน กับชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มคนงานเหมืองแร่ทองคำผิดกฎหมาย ที่ได้มีความพยายามในการหาซื้อ หรือแลกเปลี่ยนสิทธิ์ในการฉีดวัคซีน กับชนพื้นเมือง เพื่อให้คนงานเหมือนยังคงสามารถขุดหาทองคำได้ต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้ กำลังมีการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป
…
การศึกษาพบ เชื้อกลายพันธุ์ในบราซิลแพร่ได้มากกว่า 2 เท่า
จากข้อมูลที่มีการค้นพบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ P.1 ที่มีการพบครั้งแรกในบราซิลเมื่อช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา มีรายล่าสุดพบว่า สายพันธุ์กลายพันธุ์นี้ มีการเปลี่ยนแปลงในเซลล์หลายจุดด้วยกัน ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้เร็วมากกว่า สายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบก่อนหน้าที่ ถึง 2 เท่าตัว
ซึ่งกลายเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งใหม่ในบราซิลที่มีแนวโน้มการพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือน มี.ค. – เม.ย. 64
อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงในจุดที่คาดว่า เป็นการหลบเลี่ยง ไม่ให้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์ สามารถตรวจพบและสามารถต้านทานกับภูมิคุ้มกันในร่างกายคนได้มากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีประสิทธิภาพลดลง ในการป้องกันการติดเชื้อในโควิด-19 สายพันธุ์ P.1 ในบราซิล
…
กระแสถล่ม ปธน. บราซิล
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในบราซิลตั้งแต่ครั้งแรก แนวทางของประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนาโร แห่งบราซิล นั้น หลายฝ่ายต่างรุมถล่มกันว่า เป็นแนวทางที่ผิดที่ผิดทางตลอดเวลาที่ผ่านมา
โดยไม่มีการเน้นมาตรการการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล ส่งผลให้มีการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้ง่ายขึ้น และส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ง่าย เนื่องจากสภาพของเชื้อที่แพร่กระจายไปทั่วในบราซิล
แนวทางในการสนับสนุนให้มีประชาชนยอมเสี่ยงทำงานหารายได้ มากกว่าการให้หยุดงานเพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจาย การไม่สนับสนุนการสวมหน้ากากอนามัยตั้งแต่แรกของการระบาด จนกระทั่งถึงจุดที่สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ จึงมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในภายหลัง แต่หลายฝ่ายมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สายเกิดไปแล้ว การระบาดแพร่กระจายไปทั่วไปประเทศและช้าเกินไปที่จะหยุดยั้งได้แล้ว
ในขณะที่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนาโร ยังได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวด้วยว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะร้องไห้ ให้กับนมที่หกไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ ต่อสิ่งที่ ปธน.ของบราซิลได้กล่าวอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากแนวนโยบายของนาย ฌาอีร์ โบลโซนาโร นั่นเอง