ประเด็นน่าสนใจ
- พรรคอนาคตใหม่ ยืนยันเป้าหมายเดิม หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช.
- ธนาธรระบุว่า พรรคอนาคตใหม่ ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น
- ปีนี้เตรียมให้สมาชิกมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยให้โหวตออนไลน์ เพื่อกำหนดทิศทางของพรรค ขยายความคิดและอุดมการณ์ของพรรค
วันนี้ ( 8 มิ.ย. 62 ) ที่ หอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พรรคอนาคตใหม่ได้จัดงาน 1 ปีอนาคตใหม่ เดินไปด้วยกัน Walk with me, Talk with me นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ขึ้นกล่าวเป็นคนสุดท้ายของงานเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา โดยกล่าวถึงก้าวย่างต่อไปของพรรคอนาคตใหม่หลังจากนี้
โดยนายธนาธร กล่าวว่า 1 ปีผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ทำให้พวกเรารู้สึกโกรธแค้น และเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเรายิ้มอย่างสนุกสนาน และเป็นกำลังใจให้เราก้าวต่อไป มีทั้งเรื่องที่ทำให้เราหดหู่ท้อถอย เป็นเวลาที่มีค่าในชีวิตของตนและผู้ที่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาทุกคน
โอกาสนี้ตนขอขอบคุณผู้ที่เดินร่วมทางกันมาตลอด 1 ปีด้วย สิ่งแรกๆ ที่พวกเราพูดตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ เรายืนยันในสิ่งเดิมมาโดยตลอด คือการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งวันนั้นหลายคนคิดว่าเป็นแค่วาทกรรมทางการเมือง แต่วันนี้ เราจะเห็นว่าได้มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นเรื่องจริง
หลังจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มชนชั้นนำจะพูดกันว่า พล.อ. ประยุทธ์ มาจากการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย ต่อให้ไม่มี 250 ส.ว.ก็ชนะ ซึ่งถามว่าจริงไหม ก็อาจจะจริงถ้าดูกันตามตัวเลข แต่สิ่งสำคัญก็คือการมีวุฒิสภา 250 เสียงเก็บไว้ในกระเป๋า มันคือการบิดเบือนการตัดสินใจของพรรคการเมืองต่าง
70 วันหลังการเลือกตั้ง เราเห็นเลยว่าความพยายามสืบทอดอำนาจมีอยู่จริง และที่น่ากลัวก็คือการใช้ ส.ว. 249 คนเลือกประยุทธ์ โดยไม่มี ส.ว.ที่แตกแถวเลยซักคน มันแสดงให้เห็นถึงความกลัว มันแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่ใจ มันแสดงให้เห็นว่าฝั่งที่ไม่ฟังเสียงของประชาชน กลัวประชาชนมาก จึงต้องคุม ส.ว.ทั้ง 250 คนให้เบ็ดเสร็จให้ได้
มันคือสังคมที่คนที่มีอำนาจไม่พร้อมที่สละอำนาจออกมาเลย ผมเห็นแล้วผมรู้สึก หนึ่ง คือกลัว สองคืออันตราย ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าพวกเขาไม่ยอมปล่อยอำนาจออกมา สังคมมันจะเปลี่ยนผ่านอย่างสงบสุขได้อย่างไร
ทั้งนี้ นายธนาธรกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันตรงนี้ว่าตนและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ทุกคน ไม่มีใครสูญเสียกำลังใจท้อถอย เราจะเดินหน้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดในเมืองไทยตอนนี้ เป็นใจกลางของปัญหา คือตกลงแล้วอำนาจในประเทศนี้เป็นของใครกันแน่ ถ้ายังตัดสินเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้ายังหาข้อสรุปเรื่องนี้ไม่ได้ สังคมไทยไม่มีทางเดินหน้าไปข้างหน้าได้
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือสิ่งที่ตอบโจทย์เรื่องนี้เพื่อกลุ่มชนชั้นนำ คือทำยังไงให้อำนาจอยู่กับคนกลุ่มน้อย-อภิสิทธิ์ชนในสังคมไทย แต่ดูเหมือนเป็นของคนไทย หนึ่งปีที่ผ่านมาโจทย์นี้ยังคงเป็นโจทย์เดิมของเรา ดังนั้น เพื่อการนี้ พรรคอนาคตใหม่จะแบ่งการทำงานเพื่อเดินหน้าต่อไปเป็นสามส่วน
ส่วนที่หนึ่ง คือการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร แม้ตนจะไม่ได้เข้าไปทำงานในสภา แต่ยังมีอีก 79 คนที่พร้อมจะทำงานในสภา เราจะนำวัฒนธรรมการเมืองใหม่ๆ เข้ามาใช้ทำงานในสภา เราจะฟังปัญหาของประชาชน เปิดให้ประชาชนเข้ามาพูดคุยและแก้ไขปัญหาร่วมกัน เรื่องเพื่อผลักดันเป็นญัตติ กระทู้ หรือการใช้อำนาจของกรรมาธิการต่างๆ จะใช้อำนาจในการเสนอร่างกฎหมายต่างๆโดยใช้กลไกรัฐสภาผลักดัน
งานขาที่สอง คือการสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งกว่านี้ โดยตนยอมรับว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่มีความผิดพลาดทั้งในระดับยุทธศาสตร์และในระดับปฏิบัติการเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เราจะนำสิ่งที่เราตัดสินใจพลาดกลับเข้ามาประมวลผล แล้วใช้ประสบการณ์เหล่านั้นมาสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งกว่านี้ เรายอมรับว่าหลายเรื่องเราทำได้ไม่ดีพอ
ดังนั้น คนที่ไม่ได้เข้าไปทำงานในสภา (อย่างเช่นตน) จะออกไปขยายแนวร่วมในกลุ่มประเด็นปัญหาต่างๆ ไปฟังข้อเสนอและชักชวนมาทำงานร่วมกัน ส่งให้ ส.ส.ของพรรคในสภาไปผลักดันเป็นกฎหมาย เราตั้งเป้าที่จะผลักดันขยายจำนวนสมาชิกให้มากขึ้น
โดยในปีนี้เราจะทำให้สมาชิก 54,000 คน ได้โหวตออนไลน์เพื่อกำหนดทิศทางของพรรคให้ได้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการฟังเสียงของสมาชิก ในการตัดสินใจเรื่องที่ยาก เราจะดึงการมีส่วนร่วมของสมาชิกเข้ามาให้มากขึ้น ขยายความคิดและอุดมการณ์ของพรรคออกไปให้มากกว่านี้ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเรายังเข้าถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้
ดังนั้น เราจะเข้าไปขยายแนวคิดของเราให้ไปถึงวงกว้างมากขึ้น รวมไปถึงฐานเงินทุนของพรรค ให้พรรคมีอิสระทางการเงินให้ได้ เพราะถ้าวันหนึ่งธนาธรเปลี่ยนไป พรรคนี้จะสามารถเตะธนาธรออกไปแล้วหาหัวหน้าพรรคคนใหม่มาสู้แทนทุกคนได้ พรรคนี้ต้องยิ่งใหญ่กว่าธนาธร พรรคนี้ต้องไปไกลกว่าปิยบุตร พรรคนี้ต้องเข้มแข็งกว่าพรรณิการ์ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนมาร่วมกันสร้างพรรคนี้ให้เข้มแข็ง ให้เป็นพรรคของทุกคน
นายธนาธร กล่าวอีกว่า ส่วนขาที่สาม การทำงานการเมืองท้องถิ่น ยอมรับว่าพรรคเรายังไม่มีทรัพยากรและบุคลากรที่เข้มแข็งพอ ในการส่งผู้สมัครลงการเมืองท้องถิ่นได้ครบทั้ง 77 จังหวัด ตอนนี้อาจจะได้สัก 20-30 จังหวัด แต่ก็จะส่งเท่าที่ทำได้ ที่เราต้องมาทำการเมืองท้องถิ่น เพราะอำนาจทุกอย่างยังอยู่ที่กลไกของรัฐราชการส่วนกลาง มีผลต่อชีวิตของประชาชนในทุกด้าน ท้องถิ่นไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง สิ่งที่เราต้องทำคือการผลักดันอำนาจเหล่านั้นกลับลงไปที่บ้านของทุกคน เราจะเข้าไปเขย่าการเมืองท้องถิ่นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยนโยบายระดับชาติที่มีเป้าหมายเพื่อนำอำนาจและงบประมาณกลับลงไปสู่ท้องถิ่นให้ได้
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพรรคอนาคตใหม่ ยังคงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เป้าหมายใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหน คือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้น่าอยู่ เท่าเทียม เป็นธรรมมากขึ้น วันนี้เสาหลักทั้งสามต้นที่ค้ำจุนความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยยังอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทุนผูกขาด กองทัพ และรัฐราชการรวมศูนย์ ซึ่งจะต้องได้รับการปฏิรูปทั้งหมด
จาก 27 พฤษภาคมถึงวันนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รูปแบบกิจกรรมอาจจะเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือผมและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ยังคงยืนยันในคำเดิมที่พูดเมื่อวันนั้น คือการต่อสู้เพื่อสถาปนาอำนาจที่เป็นของประชาชนขึ้นมา
นายธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากขอร้องต่อผู้สนับสนุนอนาคตใหม่ทุกคน ขอให้ทุกคนช่วยกันสร้างและผลักดันความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา หนึ่ง คือการต่อสู้กับการเมืองแห่งความกลัว ด้วยการเมืองแห่งความหวัง อย่าปล่อยให้ความกลัวทำให้เราสิ้นหวังจนไม่กล้าเดินเข้าไปหาสิ่งที่เราหวังและใฝ่ฝัน สองคือการต่อสู้กับการเมืองแห่งการทำให้ลืม ด้วยการเมืองแห่งความจำ
จดจำให้ได้ว่าความอยุติธรรมที่กระทำต่อเรายังคงอยู่ ตั้งแต่ปี 16, 19, 35 และ 53 ซึ่งเผด็จการพยายามทำให้พวกเราลืมและใส่นิทานมาให้เราจำ ว่าไม่เคยมีคนถูกยิงตายกลางถนน เรื่องที่สาม คือการใช้การเมืองแห่งวันพรุ่งนี้ ต่อสู้กับการเมืองของวันนี้ ที่พยายามบอกให้เราไม่ต้องยุ่งกับการเมือง เราต้องมองให้เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ การไม่ให้ยุ่งกับการเมืองคือการปล่อยให้คนๆ หนึ่งใช้อำนาจกอบโกยทุกอย่างได้อย่างเต็มที่
เราต้องใช้การเมืองแห่งวันพรุ่งนี้ ที่ยืนยันว่าประชาชนต้องเข้าไปยุ่งกับการเมือง ไปนำอำนาจกลับมาอยู่ในมือของประชาชน และเรื่องที่สี่คือการสู้กับการเมืองแห่งความเกลียดชังด้วยการเมืองแห่งความรัก แม้เราจะถูกใส่ร้ายด้วยความเกลียดชังมากมาย เราต้องต่อสู้ด้วยความรัก เพราะหากเราทุกคนตอบโต้ความเกลียดชังด้วยความเกลียดชัง เราจะยิ่งผลักคนที่เห็นต่างออกไปจากตัวเรา และไม่สามารถขยายความคิดออกไปได้