ประเด็นน่าสนใจ
- หลังกำลังซื้อในประเทศและนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ฯ จึงเตรียมขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเจาะกลุ่มเพื่อนบ้านอาเซียนทดแทน
- นอกจากนี้ยังเตรียมร่วมทุนเมียนมาให้บริการสายการบิน พร้อมทุ่ม 100 ล้านบาทขยายท่าเทียบเรือเพิ่มแก้ปัญหาคอขวด
นายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ยังชะลอตัวอยู่ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง ประกอบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีนและรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักชะลอตัวลง ทำให้บริษัทเตรียมขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยจะหันมาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซียและสิงคโปร์มาทดแทน
นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ขยายเส้นทางการท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพิ่มเติม และขยายธุรกิจเดินทางเชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยวทั้งจากกรุงเทพฯ และพื้นที่ภาคใต้ตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของบริษัทในภาคใต้ให้เชื่อมโยงเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้าน
“ล่าสุดบริษัทได้ทำสัญญาร่วมลงทุนกับสายการบินในประเทศเมียนมา เพื่อให้บริการจอง/จำหน่ายตั๋วเครื่องบินสายการบิน ในอนาคตยังมีแผนเข้าไปเปิดให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่ในต่างประเทศ รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาเส้นทางที่เป็นไปได้ในการเปิดให้บริการเดินรถเส้นทางด่านสิงขร หากด่านสิงขรเปิดเป็นด่านถาวรเมื่อไหร่ น่าจะมีความชัดเจนขึ้น” นายอภิชาติ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มกองเรือจากปัจจุบันมีกองเรือทั้งหมด 15 ลำ พร้อมทั้งเตรียมลงทุนมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือที่ 4-5 เพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาคอขวดในการให้บริการและยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอใบอนุญาต ซึ่งหลังจากได้รับใบอนุญาตจะสามารถก่อสร้างได้ทันที คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี
ทั้งนี้ ยังได้เตรียมขอภาครัฐปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารขึ้นตามภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทมีการลงทุนเพิ่มเรือจำนวน 3 ลำ ลงทุนท่าเทียบเรือที่เกาะสมุย และลงทุนส่วนกลาง นอกจากนี้ค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น คาดว่าจะอยู่ประมาณ 20% ตามต้นทุนเนื่องจากได้ตรึงราคามาจากปี 2552
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2562 คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับจากไตรมาส 1/2562 ซึ่งเป็นไฮซีซั่นธุรกิจ แต่อย่างไรก็ดีบริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตของรายได้ปีนี้ ไว้ที่ 5-10% จากปีก่อน 750.43 ล้านบาท